เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

5 วิธีดูแลรถยนต์หลังเจอน้ำท่วม

ถึงหน้าฝนอีกแล้ว เรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดก็คือเรื่องน้ำท่วม แล้วรถของเราที่จอดอยู่ถ้าเกิดฝนตกหนัก ฟ้ารั่วหนัก แล้วต้องเจอกับน้ำท่วม มีวิธีในการดูแลรักษารถหลังเจอน้ำท่วมอย่างไรบ้าง ลองดูครับ

สำหรับรถยนต์ที่เจอน้ำท่วมค่อนข้างสูงประมาณเกินครึ่งล้อ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น้ำจะทำความเสียหายให้กับระบบต่างๆในรถยนต์ได้ เมื่อจอดรถแล้วสิ่งที่ควรดู มีดังนี้

ประเมินระดับความสูงรถยนต์ และระดับน้ำที่ท่วม

ระดับน้ำที่ไม่เกิน 15 ซม.หรือไม่เกินครึ่งล้อ ถือว่าเป็นระดับที่สามารถไปได้ แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำท่วมเกินครึ่งล้อ ให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถทั้งหมด ทิ้งระยะให้ห่างจากคันหน้า ใช้เกียร์ต่ำ และพยายามเร่งเครื่องไว้ตลอดทางที่ลุยน้ำเพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ดับ แต่ถ้ามีทางหลีกเลี่ยง ไปทางอื่นดีกว่านะจ๊ะ

ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง

หากต้องลุยน้ำระดับครึ่งล้อ หรือสูงเกินครึ่งล้อ ควรตรวจเช็คน้ำมันเครื่องดูสักหน่อยว่ามีน้ำเข้าไปผสมอยู่หรือไม่ โดยการดึงที่ก้านวัดน้ำมันเครื่องมาตรวจสอบ หากน้ำเข้าเครื่องยนต์ สีของน้ำมันเครื่องจะกลายเป็นสีน้ำนม ให้รีบเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองทันที

เช็คระบบเบรค

การลุยน้ำทำให้ผ้าเบรคเปียก และมีความชื้นทำให้จานเบรกเกิดสนิมได้ สามารถขจัดสนิมได้โดยการขัด หรือใช้น้ำยา ส่วนผ้าเบรกถ้าหากไม่ร่อนออกจากแผ่น ควรใช้ลมเป่าไล่ความชื้นให้แห้ง เพื่อความปลอดภัย

ตรวจสอบระบบไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์

การลุยน้ำอาจทำให้พัดลมหน้าเครื่อง ตีน้ำขึ้นสู่ห้องเครื่อง หรือซึมเข้าทางพื้นรถ ควรตรวจเช็คห้องเครื่อง และพื้นรถ เนื่องจากพื้นรถเป็นแหล่งรวมสายไฟฟ้า และกล่องควบคุม หากมีน้ำซึมเข้ามาควรไล่ความชื้นด้วยการเป่าลม หรือสเปรย์ไล่ความชื้น และทดสอบการใช้งานของอุปกรณ์ทั้งหมด

ตรวจสอบพื้นพรมของรถ

หากเปียกเล็กน้อยเป็นบางจุด ไล่ความชื้นด้วยการจอดตากแดด และเปิดประตูทั้ง 4 ด้านเพื่อระบายกลิ่น และความอับชื้น หากพรมเปียกทั้งหมด หรือน้ำเข้ารถควรถอดพรม และเบาะซักทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ตาก หรืออบให้แห้ง เพื่อให้กลิ่นอับ และความสกปรกหายไป

ทั้งหมดนี้เป็นการแนำนำวิธีเช็ครถเบื้องต้น ถ้าไม่มั่นใจ ให้แจ้งศูนย์บริการหรือเรียกช่างมาดูจะได้แก้ไขอย่างถูกวิธี

รวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถจากทุกมุมโลก

เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เราอาจพบความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติที่แปลกและแตกต่างกัน เราจึงรวบรวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถมาให้อ่านกันค่ะ

1. ประเทศไทย – กราบไหว้รถยนต์และมีเทวดาประจำรถ

คนไทยมีคติความเชื่อเกี่ยวกับพาหนะมาแต่โบราณ เนื่องจากเป็นยานพาหนะพาไปยังที่ต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น การ “ทำขวัญ” พาหนะจึงช่วยสร้างพลังและกำลังใจแก่เจ้าของ จึงมีการกราบไหว้รถยนต์ก่อนเดินทาง รวมไปจนถึงการมีเทวดาประจำรถ ไม่ว่าจะเป็น การเจิมรถ การไหว้แม่ย่านางประจำรถ หรือบูชาพระพุทธรูปไว้ในรถ แม้ดูไม่ใช่เรื่องแปลกของบ้านเรา แต่หลายชาติก็อาจเกิดความงุนงงที่บ้านเราต่างพากันกราบไหว้สิ่งของทั่วไป

2. ประเทศซาอุดิอาระเบีย – ผู้หญิงห้ามขับรถ

แม้ไม่มีข้อกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าห้ามผู้หญิงขับรถ แต่ด้วยความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องอันตรายและผิดศีลธรรม และคนส่วนมากเชื่อว่าหากผู้หญิงได้ขับรถแล้วอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเธอได้รับอิสระมากขึ้น

3. ประเทศโอมาน – เปิดบทสวดมนต์ให้รถยนต์ฟัง

อีกหนึ่งความเชื่อสุดประหลาดจากประเทศโอมานคือการเปิดเทปเสียงสวดมนต์จากคัมภีร์อัลกุรอ่านเป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หลังจากล้างรถใหม่ เพื่อปัดเป่ามารร้ายออกจากรถ และช่วยสร้างพลังและกำลังใจ

4. ประเทศจีน – เลขไม่มงคล

ถือเป็นหลักความเชื่อที่มีผลกับชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นกันในเรื่องความเชื่อเลข 4 ถือเป็นเลขที่ไม่มงคล เพราะมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “ซี้” ที่แปลว่าตายในภาษาจีนแต้จิ๋ว

5. ประเทศรัสเซีย – ห้ามผิวปากในรถ

แม้การผิวปากจะดูเป็นการแสดงออกถึงความอารมณ์ดี แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศก็มีความเชื่อแปลก ๆ เกี่ยวกับการผิวปาก เช่น บ้านเราไม่ให้ผิวปากตอนกลางคืน เพราะเป็นการเรียกวิญญาณ เช่นเดียวกับประเทศรัสเซียที่ไม่ให้ผิวปากในรถ เพราะถือว่าจะทำให้เสียทรัพย์

6. ประเทศแถบยุโรป – ชอบป้ายทะเบียนที่มีเลข 7

ที่ชาวยุโรปมีความชื่นชอบเลข 7 เป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขให้โชคลาภ ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางปลอดภัย และมีอำนาจพิเศษ เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ที่ถือว่าเลข 7 เป็นเลขมงคล เพราะประเทศญี่ปุ่นมีประเพณีกินสมุน ไพร 7 ชนิด เชื่อกันว่าทำให้สุขภาพดี

7. ประเทศรัสเซีย – ดอกไม้สีเหลือง

รัสเซียซึ่งเชื่อว่าดอกไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการแยกทางกัน ความไม่ซื่อสัตย์ หรือความตาย ชาวรัสเซียจึงไม่นิยมนำดอกไม้สีเหลืองขึ้นรถ เพราะถือเป็นการทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือโชคไม่ดีในการขับขี่นั่นเอง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

หากพูดถึงความเชื่อของคนไทย แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งสมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึง ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย ที่เริ่มมีบทบาทต่อชีวิตของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างว่าทำแล้วส่งผลให้มีโชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ความเชื่อเกี่ยวกับรถ ที่คนไทยหลายคนเชื่อกันว่ามีอะไรบ้าง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

1.ฤกษ์ออกรถ

คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับฤกษ์ออกรถค่อนข้างมาก เพราะเป็นวันแรกที่นำรถออกจากศูนย์มาขับใช้งาน ซึ่งการดูฤกษ์ออกรถนั้นก็เป็นความเชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่รถยนต์และผู้ขับขี่ หลายคนที่กำลังจะออกรถ จึงมักหาวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดีในการออกรถนั่นเอง

2. การเจิมรถ

นอกจากฤกษ์ออกรถแล้ว หลายคนก็นิยมนำรถยนต์ไปเจิม ไม่ว่าจะเจิมรถด้วยพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ หรือแม้แต่บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ในบ้านก็ตาม แต่ส่วนใหญ่นิยมให้พระเป็นผู้เจิมรถให้ เพราะมีความเชื่อว่าหากให้พระสงฆ์ทำพิธีเจิมรถให้ จะเป็นเหมือนการให้พร ให้มีสิ่งดีๆ เข้ามา มีโชค มีลาภ ขับรถไปไหนก็แคล้วคลาดปลอดภัย

3. ป้ายทะเบียนรถยนต์

ปัจจุบัน ศาสตร์ของตัวเลขถือว่าเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ รวมไปถึง ป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่มีการคำนวณผลรวมของตัวเลขให้ออกมาเป็นเลขมงคล หรือเลขที่มีความหมายในทิศทางที่ดี มีสิริมงคล โดยเป็นความเชื่อที่ว่า ตัวเลขป้ายทะเบียนรถยนต์เหล่านั้นจะส่งผลต่อโชคชะตาชีวิตของเจ้าของรถนั่นเอง

4. สีรถถูกโฉลก

หลายคนเลือกสีรถจากความชอบ แต่หลายคนก็เลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง หรือถูกโฉลกกับวันเดือนปีเกิดของตัวเอง โดยมีความเชื่อที่ว่าสีรถถูกโฉลกจะเป็นพลังที่ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งโชคลาภ ความก้าวหน้า และช่วยเสริมดวงชะตาแก่เจ้าของรถ แต่หลายคนที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีสีถูกโฉลก ก็นิยมนำสติ๊กเกอร์ที่เป็นประโยคบอกสีมาแปะบนรถ เพื่อเป็นแก้เคล็ดแทน เช่น รถคันนี้สีขาว เป็นต้น

5. พระตั้งหน้ารถ

ปิดท้ายกันที่ความเชื่อเรื่องการตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า การวางพระตั้งหน้ารถนั้นจะทำให้คุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง และปกปักรักษาคนขับรถให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ การตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถนั้น จึงเป็นเหมือนการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกอุ่นใจนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลังมากมายที่คนขับรถส่วนใหญ่นิยมบูชาไว้ติดรถ เช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงพ่อโสธร เป็นต้น

Cr. chobrod.com

เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่างไรแล้วควรตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท ขับรถด้วยความระมัดระวัง และถ้าจะให้ดีมาสิแนะนำว่าควรทำประกันรถยนต์ไว้ด้วย เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินก็ยังคงได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์เป็นค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณีนั่นเอง

อายุยาง ดูตรงไหน จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว?

อายุยาง ดูตรงไหน ?

ตัวเลขบนหน้ายาง ที่เราสังเกตเห็นบนหน้ายาง จะมีอยู่หลายชุด ซึ่งแต่ละชุดจะเป็นตัวเลขที่บอกข้อมูลให้เจ้าของรถเพื่อเป็นข้อสังเกต อายุยาง ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยาง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ชุดแรกจะเป็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนยางที่บอกถึงอายุของยางรถยนต์ สามารถดูได้ที่ตัวเลขสี่หลักที่ประทับบนแก้มยาง โดยเลขสองตัวแรกบ่งบอกสัปดาห์ที่ผลิต ขณะที่ตัวเลขสองตัวหลังบอกปีทีผลิต

ถ้าดูจากภาพจะเห็นว่ายางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 12 ปี ค.ศ. 2018 การเลือกใช้ยางหลายคนอาจะได้ข้อมูลมาว่าต้องเป็นยางที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆ จะดีที่สุด ซึ่งในทางเทคนิคยางที่ดีจะต้องใช้เวลาในการคงตัว (เซตตัว) โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน เพื่อความแข็งแรงในการใช้งาน แต่ผลจากการทดสอบคุณภาพยางจากได้ผลออกมาว่า ยางที่เพิ่งผลิตกับยางที่ผลิตไปแล้ว 1 – 2 ปี คุณภาพไม่แตกต่างกัน ขณะที่อายุใช้งานสูงสุดของยางไม่ควรเกิน 4 – 5 ปี (นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน)

ตัวเลขอีกหนึ่งชุดคือตัวเลขที่บอกถึง สัญลักษณ์ความเร็ว, ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด, เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อกระทะ, ยางมีโครงสร้างแบบเรเดียล, ความสูงของแก้มยาง (คิดเป็น % ของหน้ายาง), ความกว้างหน้ายาง (มิลลิเมตร)

เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์กันแล้ว มีสัญญาณอะไรบอกบ้าง Autospinn นำเสนอเคล็ดลับ 5 ข้อให้ผู้ขับขี่ได้ตรวจสอบสภาพยางอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้อย่างง่าย ๆ

1. ดูที่ตัวบอกสภาพดอกยาง

ยางรถยนต์ส่วนใหญ่มีตัวบอกสภาพดอกยางอยู่บริเวณหน้ายาง ถ้าตัวบอกสภาพดังกล่าวมีความหนาในระดับเดียวกับดอกยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางแล้วเพื่อความปลอดภัย ถ้ายางที่คุณใช้ไม่มีตัวบอกสภาพดอกยาง

อีกหนึ่งเคล็ดลับคือการใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยาง ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง หมายถึงดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานได้ต่อไป ควรเปลี่ยนยาง 

2. แก้มยางแตกหรือแยกส่วน

ถึงแม้ว่าแก้มยางจะไม่ใช่ส่วนที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรงเหมือนหน้ายาง แต่ถ้าแก้มยางมีรอยแตกอาจนำไปสู่ยางระเบิดหรือแตกขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้

3. ยางบวม

ยางบวมเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่อันตรายอย่างมาก การบวมของยางส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณแก้มยาง สาเหตุหลักมาจากการขับตกหลุมหรือเสียดสีอย่างรุนแรง รวมถึงข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตซึ่งทำให้โครงสร้างยางไม่แข็งแรงในจุดที่เกิดการบวม

4. ตำแหน่งรั่วของยาง

เมื่อยางเกิดรั่ว หลายคนนิยมใช้วิธีปะยางแทนการเปลี่ยนยางทั้งเส้น เพราะประหยัดสตางค์ได้มากกว่า แต่ควรตระหนักว่าการปะยางควรทำในบริเวณที่รอยรั่วมีขนาดไม่เกิน 1 ใน 4 นิ้วและเกิดขึ้นบริเวณหน้ายางเท่านั้น (ตามภาพ) การปะยางไม่ควรทำบริเวณแก้มหรือขอบยางเพราะไม่มีประโยชน์อันใดและอาจเป็นอันตรายต่อไปในอีกไม่ช้า

สำหรับผู้ใช้รถที่ต้องการใช้ยางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานได้ดี ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ผู้ใช้รถสามารถเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถมากที่สุด ที่สำคัญต้องมีราคาที่สมเหตุสมผล ประหยัดเงินกระเป๋า

ลมยาง เติมตามคู่มือดีที่สุดจริงหรือ?

ยาง คือสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นถนนกับรถอันเป็นที่รักของเรา ไม่ว่าจะรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ยางเป็นองค์ประกอบสำคัญมากที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการยึดเกาะถนนของรถ ไม่ว่ารถของคุณจะมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ดีแค่ไหน หากแต่ยางที่คุณใช้นั้นไม่เกาะถนน ก็จะทำให้การขับขี่ของคุณไม่ปลอดภัยได้ทันที


แล้วจะทำยังไงล่ะให้ยางที่เราใช้นั้นเกาะถนน ซื้อยางแพงๆเหรอ? คำตอบคือ “ใช่” ในส่วนหนึ่ง แน่นอนว่ายางราคาสูงๆ ย่อมมีศักยภาพในการยึดเกาะที่ดีกว่ายางราคาถูก ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของยางด้วย หากเป็นยางประเภทสปอร์ต เนื้อนิ่ม เกาะถนนแน่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานที่สั้น ในทางกลับกัน ยางทัวริ่ง เนื้อยางแข็ง เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน ก็ต้องแลกกับการยึดเกาะที่น้อยลงไป

แต่ในบทความนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องของ “ราคา” หรือ “เกรด” ของยาง เนื่องจากเป็นเรื่องของการใช้จ่าย ซึ่งแต่ละคนมีกำลังซื้อไม่เท่ากัน ยิ่งยางในสมัยนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ราคาเส้นนึงเฉียดหมื่นเข้าไปแล้ว หากพูดแค่ว่า ให้ซื้อยางแพงๆ ใส่ ใครๆ ก็รู้ว่ามันต้องดีกว่ายางถูกๆ แหละจริงไหม?

ฉะนั้นเราจะตัดเรื่องราคาออกไป แล้วมาดูอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ทุกคนอาจมองข้ามไป คือ “ลมยาง” ว่าเราควรใช้ความดันลมยางเท่าไหร่ ที่จะทำให้ยางของเรานั้นยึดเกาะถนนได้ดี และเหมาะสมกับการใช้งาน

โดยก่อนจะพูดถึงลมยาง เรามารู้จักกับชนิดของยางกันก่อน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.ยางแบบใช้ยางใน
2.ยางแบบไม่ต้องใช้ยางใน หรือ ยาง Tubeless
โดยในปัจจุบันยางที่ใช้ในรถบนถนนเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่มที่ 2 และมีบางกลุ่มที่ยังใช้ยางแบบใช้ยางในอยู่ ซึ่งยาง 2 ชนิดนี้ก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน

โดยยางแบบต้องใช้ยางในนั้น ถูกใช้กันมาก่อนที่จะมียาง Tubeless โดยมีข้อดีคือราคาถูก น้ำหนักเบา สามารถเติมลมยางอ่อนมากๆ ได้ในสถานการณ์ที่ต้องการ ยางนอกก็ไม่หลุดไปไหน เนื่องจากมีตัวล็อคยางไว้กับขอบล้อและลมถูกเก็บไว้ในยางใน แต่มีข้อเสียคือ ด้วยความที่ใช้ยางใน ทำให้หากโดนตะปูหรือของมีคมแล้ว ยางในจะเกิดการระเบิด ทำให้ไม่สามารถขี่ต่อได้ และอาจทำให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิตได้

สำหรับยาง Tubeless จะค่อนข้างแตกต่างจากยางแบบใช้ยางใน ยางชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่ามาก มีน้ำหนักมากกว่า ขณะขับขี่เกิดความร้อนน้อยกว่า เนื่องจากไม่เกิดการเสียดสีระหว่างยางในกับยางนอก ทำให้โอกาสยางระเบิดมีน้อยกว่า และที่สำคัญคือในกรณีโดนตะปูหรือของมีคมแทงแล้วจะไม่เกิดการระเบิด ลมยางจะค่อยๆ รั่วออกช้าๆ สามารถเติมลมและประคองรถไปหาที่ปะยางได้ แต่ก็มีจุดด้อยคือไม่สามารถใช้ความดันลมยางอ่อนมากๆ ได้ เนื่องจากยางชนิดนี้ต้องอาศัยแรงดันลมภายในยางในการทำให้ขอบยางยึดติดอยู่กับขอบล้อ

ลมยางกับการใช้งาน

เกริ่นมาซะยาว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า “ลมยาง เติมตามคู่มือดีที่สุดจริงหรือ? ถ้าไม่ เติมเท่าไหร่ดี?”

ลมยาง คือสิ่งที่สร้างแรงดันอยู่ภายในยาง ช่วยให้ยางคงรูป มีความแข็งแรง พอที่จะรองรับน้ำหนักรถและผู้ขับขี่ หลักการพื้นฐานของการเลือกใช้ความดันลมยางที่ง่ายที่สุดคือ “น้ำหนัก” เนื่องจากน้ำหนักที่มาก ทำให้โครงสร้างยางถูกกดทับมาก เราจึงต้องใช้แรงดันลมยางที่แข็ง เพื่อช่วยประคองโครงสร้างยางไว้ไม่ให้ถูกน้ำหนักกดทับจนเสียรูปทรง ซึ่งความดันลมยางปกติที่ใช้กันบนท้องถนนสำหรับรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ทั่วไปตามคู่มือแนะนำจะอยู่ที่ 28-40 PSI แต่ทั้งนี้ตัวเลขเหล่านี้นั้นไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป มันสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์, การใช้งาน หรือ ความชอบส่วนบุคคลได้ เรามาดูกันว่าการใช้งานแบบไหน ควรใช้ลมยางเท่าไหร่บ้างกัน

คู่มือแนะนำเติมลมยางแข็งขึ้น กรณีมีคนซ้อน

ใช้งานทั่วไปบนท้องถนน

สำหรับการใช้งานทั่วไปบนท้องถนนนั้น สามารถเติมตามคู่มือติดรถ หรือคำแนะนำของบริษัทยางได้เลย เนื่องจากตัวเลขตามคู่มือนี้เป็นตัวเลขที่วิศวกรนั้นคำนวณมาแล้วว่า เป็นแรงดันที่ปลอดภัย ครอบคลุมการใช้งานทั่วไป สามารถรองรับการบรรทุกน้ำหนัก(ที่ไม่มากจนเกินไป)ได้ ให้การเกาะถนนและความประหยัดน้ำมันที่พอดี แต่หากปกติแล้วผู้ใช้นั้นมีการบรรทุกน้ำหนักมาก หรือพาเพื่อนฝูงไปแฮ้งเอ๊าท์กันเต็มคันเป็นประจำ ก็สามารถเติมลมเพิ่มจากคู่มือสักเล็กน้อยได้ เพื่อไม่ให้แก้มยางถูกน้ำหนักกดทับมากจนเสียรูปทรง หรือสำหรับผู้ที่ปกติเดินทางคนเดียว และต้องการความนุ่มนวล ก็อาจเลือกปรับลดแรงดันลมยางจากคู่มือได้เช่นกัน

ออกทริป เดินทางไกลลล~

สำหรับการเดินทางไกลนั้น เราควรจะเติมลมยางแข็งกว่าปกติ สาเหตุเพราะปกติเวลารถวิ่ง โครงสร้างยางถูกแรงกระทำทำให้เกิดการขยับตัวไปมาก่อให้เกิดความร้อนสะสม โดยในกรณีเดินทางไกลจะเกิดความร้อนสะสมมากกว่าปกติ เพราะใช้ความเร็วที่สูงและการขับขี่เป็นระยะเวลานาน ซึ่งความร้อนสะสมนี้จะทำให้ยางหมดไว และมีโอกาสเกิดระเบิดขึ้นได้ เราจึงควรเติมลมยางแข็งกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อลดการขยับตัวของโครงสร้างยาง จะสามารถช่วยลดความร้อนสะสมได้ อีกทั้งลมยางที่แข็งจะทำให้หน้าสัมผัสของยางลดน้อยลง(คือเกาะถนนน้อยลงนั่นแหละ แต่ว่าการเดินทางไกลเราเน้นใช้ในทางตรง ไม่จำเป็นต้องใช้การยึดเกาะที่มากมาย) ซึ่งจะช่วยให้รถทำความเร็วได้ดีและประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย

สายเรซซิ่ง ซัดทุกโค้ง

สำหรับไบค์เกอร์ที่เป็นสายสปอร์ต เจอโค้งเป็นไม่ได้ต้องเอาอะไรเช็ดพื้นสักหน่อย ควรจะเติมลมยางอ่อนกว่าปกติ เพื่อเพิ่มผิวสัมผัส (Contact patch) ของหน้ายาง ทำให้มีการยึดเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้นทั้งในทางตรงและทางโค้ง แต่ข้อเสียของการใช้ลมยางอ่อนก็คือยางจะเกิดความร้อนสูง เนื่องจากโครงสร้างยางมีการขยับตัวมาก และทำให้ยางหมดไวกว่าปกติ

สายแบก อะไรหนักมาฝากที่พี่

สำหรับผู้ใช้รถในการบรรทุกของหนัก รวมถึงการมีคนซ้อน(ยิ่งถ้าคนขี่และคนซ้อนมีน้ำหนักตัวเยอะ) ควรจะเติมลมยางแข็งกว่าปกติ เพื่อช่วยพยุงโครงสร้างของยาง ไม่ให้ถูกน้ำหนักกดทับจนเสียรูปทรง การบรรทุกของหนักมากๆ และใช้ลมยางอ่อน จะทำให้โครงสร้างยางเสียหาย ความร้อนสะสมสูง และอาจเกิดยางระเบิดขึ้นได้

สายฝุ่น ถนนดีๆข้าไม่ชอบ

สำหรับสายฝุ่น ที่ไม่ชอบขี่บนถนนธรรมดา ต้องบุกป่าฝ่าดงสิ ถึงจะมันส์ ควรเติมลมยางอ่อนกว่าปกติ ทำให้ยางสามารถให้ตัวได้มาก เพื่อใช้ในการยึดเกาะพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือปีนป่ายอุปสรรคต่างๆ และช่วยลดแรงกระแทกจากการขับขี่ให้เบาลง ในกลุ่มรถวิบากล้อซี่ลวดที่ใส่ยางแบบใช้ยางในอาจปล่อยลมจนเหลือเพียงแค่ 12 PSI ก็มี แต่ในกลุ่มยาง Tubeless ไม่สามารถใช้ลมยางที่อ่อนมากได้ เพราะมีโอกาสที่ยางจะหลุดออกมาจากขอบล้อ ทั้งนี้ทั้งนั้นในการขับขี่ทางฝุ่นทั่วไป อาจขับขี่ได้โดยปล่อยลมยางเล็กน้อย แต่หากเจอทางลุยหนักๆโหดๆ ยาง Tubeless และล้อแม็กซ์ จะไม่มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรองรับแรงกระแทก อาจเกิดอาการล้อดุ้ง ล้อแตกได้

หลักการง่ายๆ ในการปรับเพิ่ม-ลดลมยาง

ลมยางแข็ง :
– โครงสร้างยางคงรูป แข็งแรง สามารถบรรทุกของหนักได้
– การขับขี่กระด้างกว่าลมยางอ่อน
– ความร้อนสะสมน้อย
– ประหยัดน้ำมัน
– วิ่งทางตรงทำความเร็วได้ง่ายกว่า
– ยางหมดช้ากว่า

ลมยางอ่อน :
– โครงสร้างยางให้ตัวได้มากกว่า เพิ่มหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนน (เกาะถนนมากกว่า)
– นุ่มนวล
– ความร้อนสะสมมาก
– เปลืองน้ำมันมากกว่าลมยางแข็ง
– ยางหมดไวกว่า

สรุป

การเติมลมยางนั้นสามารถเติมตามคู่มือ หรือไม่ตามคู่มือก็ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่าต้องเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานของเรา แน่นอนว่าการเติมลมยางตามคู่มือนั้นจะถูกคำนวณมาให้ปลอดภัยและครอบคลุมการใช้งานทั่วไปมากที่สุด แต่หากเรามีจุดประสงค์ของการใช้งานที่ชัดเจน เราก็สามารถเลือกที่จะปรับแรงดันลมยางให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่ของเราได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและสมรรถนะการยึดเกาะที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

Tips & Tricks

– การวัดลมยางนั้นควรวัดในขณะที่ยางเย็นอยู่ หรือเมื่อรถจอดไว้ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากหากเราขับรถออกไปแล้ว ยางจะเกิดความร้อน ส่งผลให้แรงดันภายในยางเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดลมยางได้
– ควรมีเครื่องวัดลมยางเป็นของตัวเอง เนื่องจากหัววัดตามปั๊มแต่ละที่อาจมีความคลาดเคลื่อน ไม่เท่ากัน
– ยางแบบ Tubeless ไม่ควรเติมลมยางอ่อนกว่า 20 PSI เนื่องจากมีโอกาสที่ยางจะหลุดออกจากขอบล้อได้

สุดท้ายนี้ก่อนจากกัน ขอฝากผู้อ่านทุกท่านไว้ว่า การเลือกแรงดันลมยางไม่มีถูกไม่มีผิด และควรลองด้วยตนเองจะดีกว่าการปรับใช้ตามคนอื่น เนื่องจากความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน ออกไปลองขับและปรับดูทีละ 1-2 ปอนด์ แล้วจะรู้ว่าแบบไหนที่เราชอบครับ

cr.https://www.autospinn.com/2019/08/tyre-pressure-guide-57835

8 วิธีดูแลรถ เคล็ดลับการดูแลรักษารถเบื้องต้น ให้ใหม่อยู่เสมอ

เพราะการซื้อรถสักคันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การดูแลรักษารถให้อยู่คู่กับเราและรองรับการใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

มีคำแนะนำและวิธีการดูแลรักษารถมากมายที่อาจทำหลายคนสับสนและรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะเริ่มลงมือทำจริงจัง วันนี้เราขอแนะนำเคล็ดลับเบื้องต้น สั้นๆ ง่ายๆ ในการทำให้รถคู่ใจของผู้อ่านดูใหม่อยู่เสมอมา จะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลย

8 วิธีดูแลรถ ให้ใหม่อยู่เสมอ  

1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล

การขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ทั้งการออกตัวที่ไม่กระโชกโฮกฮากและการเว้นระยะเบรกอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยรักษาความสมบูรณ์ของตัวรถให้คงอยู่ยาวนานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

2. ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง

การล้างรถช่วยให้ตัวรถดูสะอาดน่าใช้ พร้อมกับชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนและฝังอยู่ในร่องหลืบที่เรามองไม่เห็น ควรทำความสะอาดภายในห้องโดยสารให้สะอาดเอี่ยมด้วยเช่นกัน

พรมปูพื้นควรนำออกมาล้างและตากแดดเป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งหมักหมมและเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ ไม่ควรลืมลงแว็กซ์รถให้ทั่วเพื่อรักษาคุณภาพสีรถให้สวยเงางามหลายปี

3. จอดรถในร่ม

พยายามหาที่จอดรถในร่มเพื่อรักษาสีของตัวรถและปกป้องห้องโดยสารจากแสงแดดที่แผดเผาของบ้านเรา ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจใช้แผงกันแดดปิดบังคอนโซลไว้เพื่อป้องกันความเสียหายของวัสดุพลาสติก

4. เช็คระยะสม่ำเสมอ

ความสำคัญของการเข้าเช็คระยะตามกำหนด คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตรวจสอบชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นทั้งกับรถใหม่และรถมือสอง ช่วยยืดอายุการใช้งานตัวรถและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

5. ดูแลยางรถยนต์

ตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงจะให้ความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันด้วย

6. ล้างห้องเครื่องยนต์

ล้างห้องเครื่องยนต์อย่างน้อยปีละครั้ง เพราะเครื่องยนต์ที่สะอาดจะมีอุณหภูมิการทำงานที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ที่สกปรก

นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายบ้าง โดยอาจทำความสะอาดด้วยตนเองก็ได้แต่ควรระมัดระวังชิ้นส่วนสำคัญอย่างกรองอากาศ สายไฟและชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบอิเลกทรอนิก

7. เปลี่ยนหัวเทียน

หลายค่ายรถแนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความประหยัดน้ำมันและสมรรถนะเครื่องยนต์

8. ดูแลรักษาแบตเตอรี่

ถึงแม้แบตเตอรี่ในรถของคุณจะเป็นแบบ maintenance free หรือไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา แต่ก็ควรตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุการใช้งาน โดยควรทำความสะอาดให้ใหม่อยู่ตลอดเวลาและตรวจดูว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่

cr.https://www.autospinn.com/2015/05/8-tips-maintanance-for-cars

ความปลอดภัยในการขับขี่พื้นฐาน

แล้วสรุป เราจอด เติมน้ำมัน ยังต้องดับเครื่องยนต์ นั่งทนร้อน เพื่อให้เด็กปั๊มเสียบหัวจ่ายเพิ่มพลัง ให้กับรถ ของเราหรือไม่

ในขั้นตอนเติมน้ำมันปกติ ที่ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ จะมีคำเตือนที่หัวจ่าย หรือ หนักงานบริการ จะเตือนคุณว่าให้ดับเครื่องยนต์เสมอ เมื่อต้องเติมน้ำมัน เป็นขั้นตอนปกติที่จะต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบ

ที่จริงแนวทางดับเครื่องก่อนเติมน้ำมัน นั้นมีมานาน ตั้งแต่อดีต รถสมัยก่อน ประตูเติมน้ำมัน จะใช้ดอกกุญแจเดียวกับที่คุณเปิดประตู และ สตาร์ทเครื่องยนต์ นั่นเพื่อให้ผู้ขับขี่ ต้องดับเครื่องยนต์ก่อนการเติมน้ำมัน จนกระทั่งคนบางกลุ่มเริ่มหัวหมอ ในการนำชุดกุญแจสำรอง มาใช้ในการเปิดประตู ถังน้ำมัน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หันมาใช้ระบบเซ็นทรัลล็อก หรือสลักเปิด ในการควบคุมประตูถังน้ำมัน จากห้องโดยสาร ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ และการทำแบบนี้ สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องดับเครื่องยนต์ จนเป็นการเริ่มปลูกฝัง พฤติกรรมและความเชื่อแบบผิดๆไปโดยไม่รู้ตัว

คนรุ่นใหม่จำนวนมาก รวมถึง มือเก๋าหลายคน เริม่จะไม่ดับเครื่องยนต์ เวลาเติมน้ำมัน ทั้งที่ แนวทางที่ให้ดับเครื่องยนต์ในการะเติมน้ำมัน นั้นมีประโยชน์มากมาย

ประการแรก คือการลดความเสี่ยงในการเกิดไอน้ำมัน ที่อาจจะเป็นต้นตอของการระเบิดได้ ไอน้ำมันในถัง หรือ Vapour จะเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เด็กปั๊มเปิดฝาถังออก และ จะมีต่อเนื่อง ในระหว่างที่ถังถูกเปิดผนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่เราวิ่งรถมาในระยะทางไกลๆ เจ้าไอน้ำมันนี้ จะเยอะมากเป็นปกติ เนื่องจากมีแรงดันในถังเก็บในรถ และจะเล็ดรอดออกมา ทันที ที่มีการเปิดฝาถังน้ำมัน

ถึงจะฟังไม่อันตราย มันก็แค่ไอน้ำมัน มันจะทำอันตรายอะไรได้ แต่หลักการเดียวกันนี้ ก็ใช้ในการสันดาปปกติในเครื่องยนต์ด้วย เครื่องยนต์เบนซินรุ่นเก่า จะใช้การผสมน้ำมันกับอากาศ ก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และ ใช้หัวเทียนสร้างประกายไฟในการจุดระเบิด เป็นแรงดันลูกสูบ เกิดกำลังเครื่องยนต์ให้เราขับขี่

ฉันใดก็ฉันนั้น หลักการเดียวกัน สามารถเกิดได้ กับโลกภายนอก เมื่อไอน้ำมันออกมาจากถัง ในระหว่างการเติมน้ำมัน การมีสิ่งใดกระตุ้นให้เกิดประกายไฟ ก็สามารถ เปลี่ยนให้การเติมน้ำมัน กลายเป็นหายนะได้ในทันที

ที่จริงในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเมืองหนาว มีความกังวลมากที่สุดว่า ประกายไฟ อาจเกิดได้จากไฟฟ้าสถิต ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ ตั้งใจ ทั้งจาก การขึ้นลงรถ โดยใช้ร่างกายแตะกับชิ้นส่วนรถ เหมือนที่คุณชอบโดนไฟฟ้าช๊อต ในหน้าหนาว หรืออาจจะมีจากสัญญาณมือถือ กระทั่งชิ้นส่วนที่บกพร่องของเครื่องยนต์เองก็ดี อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ทางเดียวกัน แนวทางดับเครื่องยนต์ก่อนเติมน้ำมัน ก็เพื่อป้องกันความประมาทเลินเล่อในระหว่างขั้นตอนเติมน้ำมัน ของลูกค้า เช่น เผลอไปจอดเกียร์ N เป็นโดน เกียร์ D หรือ R ทำให้ รถเคลื่อนที่ หรือ รถไหล ระหว่างการเติมน้ำมัน เป็นต้น ไปจนถึง ยังป้องกัน การชักดาบของลูกค้าด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ ยังช่วยลดมลภาวะจากปลายท่อไอเสีย ของเครื่องยนต์ ระหว่างการเติมน้ำมัน ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อผู้ปฏิบัติงานของปั๊มน้ำมัน ด้วย

ส่วนตัวเราเองก็ได้ประโยชน์ ตรงที่ จะไม่เสียน้ำมันไปฟรีๆ ในระหว่างที่เติมน้ำมัน ถึงจะนั่งอย่างสบายใจในรถ แต่ความสบายก็แลกกับน้ำมันที่ถูกเติมเพิ่มเข้ามา เนื่องจากเครื่องยนต์ยังซดน้ำมันต่อเนื่อง แม้จะอีกไม่กี่บาทก็ตามเถอะ สำคัญกว่านั้น ยังปลอดภัยต่อตัวคุณเอง และครอบครัวด้วย

ดังนั้น ถ้าถามว่า เติมน้ำมัน ควรดับเครื่องยนต์ หรือไม่

คำตอบ คือ ใช่ครับ คุณควรดับเครื่องยนต์ในระหว่างการเติมน้ำมัน และควรทำให้เป็นนิสัยในการใช้รถด้วย การทำเช่นนี้ ทำให้คุณปลอดภัย จากอันตรายในเรื่องไฟฟ้า สถิตที่อาจจะแจ็คพอท เกิดขึ้นได้ โดยไม่ตั้งใจ นั่นสำคัญกว่าความสบายเพียงไม่กี่นาที ในระหว่างการเติมน้ำมัน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.ridebuster.com/why-stop-engine-refuel-2021/

น้ำยาหม้อน้ำลดลง…มันหายไปไหน?

ใครกำลังประสบปัญหานี้ เพิ่งเติมน้ำยาหม้อไปไม่นาน แต่น้ำลดลงเร็วมาก…มันหายไปไหน? เรื่องปกติ หรือ หม้อน้ำเกิดรอยรั่วตรงไหน ปล่อยทิ้งไว้จะมีปัญหาไหม วันนี้เรามีคำตอบครับ

สาเหตุการหายไปหรือการลดระดับของน้ำยาหม้อน้ำ มีอยู่หลายประเด็น ดังนี้
1) เกิดจากการใช้งาน ที่ระยะเวลายาวนานมาก (เช่น 5 ปีขึ้น) โดยไม่เปลี่ยนถ่ายหรือเติมเพิ่ม
– เพราะตามปกติแล้วน้ำยาหม้อน้ำจะไม่ลดลง เนื่องจากระบบหม้อน้ำสำหรับระบายความร้อนเป็นระบบปิด – แต่อาจเกิดจากการใช้งานที่ยาวนานมากจนเกินไป จนไปตกค้างตามชิ้นส่วนต่างๆ ที่น้ำยาหม้อน้ำไหลผ่าน หรือน้ำที่ใช้ผสมในน้ำยาหม้อน้ำ ระเหยตัวจากความร้อนเป็นบางส่วน

2) เกิดการร่วมซึมจากข้อต่อหรือท่อยางต่างๆ ในระบบ
– เนื่องจากระบบหม้อน้ำ ประกอบด้วยท่อหลายส่วน เช่น ท่อน้ำเข้าระบบฮีทเตอร์ ท่อน้ำเข้าวาล์วน้ำ ท่อน้ำเข้าหม้อน้ำ จึงอาจเกิดการรั่วจากระหว่างข้อต่อกับท่อต่างๆ หรือรั่วที่ปั๊มน้ำ
– ซึ่งหากเกิดการรั่วไหล บริเวณจุดที่กล่าว ข้อดี คือ เรายังสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า จากคราบน้ำยาที่ไหลออกมา หรือน้ำยาที่หกรั่วไหลที่ตามพื้นถนน

3) การรั่วของวัสดุที่ใช้ทำหม้อน้ำ สาเหตุจากการกัดกร่อน
– อาจเกิดจาก น้ำที่ใช้ผสมกับน้ำยาหม้อน้ำเป็นน้ำกระด้าง ไม่สะอาด เช่น น้ำคลองหรือน้ำบาดาล น้ำจากแหล่งธรรมชาติ สิ่งปนเปื้อนที่ติดมากับน้ำเหล่านี้ ก่อให้เกิดสนิม คราบตะกรัน ตะกอนหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ มีผลต่อการกัดกร่อนหม้อน้ำ

4) การรั่วจากอุบัติเหตุในการขับขี่
– เช่น ที่ครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ เกิดโดนหินกระเด็นมาชนจนมีรอยรั่ว ก็เป็นสาเหตุทำให้ระบบระบายความร้อนล้มเหลว เสียหายได้

5) การรั่วภายในเครื่องยนต์
– การรั่วลักษณะนี้ ส่งผลเสียที่ค่อนข้างรุนแรง กล่าวคือ เราไม่สามารถมองเห็นคราบ รอยรั่ว น้ำยาที่รั่วไหล ได้ด้วยตาเปล่า
– แต่น้ำยาหม้อน้ำ เกิดการรั่วไหลเข้าสู่ระบบอื่น เช่น อาจมีน้ำไหลเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ หรือที่อ่างน้ำมันเครื่อง ซึ่งผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่าประเด็นอื่นๆ อาจทำให้เครื่องยนต์พัง เสียหายได้ในที่สุด

ดังนั้น เราควรตรวจสอบระดับน้ำยาหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง สำหรับรถเลขไมล์สูงเกินกว่า 200,000 กม. เพราะปริมาณที่ลดลงของน้ำยาหม้อน้ำ อาจส่งผลต่อการระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อความเสียหายของเครื่องยนต์

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.valvoline.co.th/information/tips/202110.php

ใบขับขี่ มีกี่ประเภท ? และการต่อใบขับขี่ในสถานการณ์โควิด

ด้วยสถานการณ์โควิดระบาดต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย โดยใบขับขี่ที่หมดอายุแล้ว ยังสามารถใช้ได้ถึง 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนและสำหรับผู้ต้องการต่ออายุใบขับขี่สามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือนก่อนใบขับขี่หมดอายุ โดยเข้าอบรมออนไลน์ได้ที่ www.dlt-elearning.com และสามารถนำผลผ่านการอบรมออนไลน์ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถที่สำนักงานกรมขนส่งที่สะดวก

สำหรับผู้ขับขี่ทุกคน ก่อนที่จะสามารถนำรถมาใช้บนท้องถนน ไม่ว่าจะขับรถชนิดใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีและเตรียมให้พร้อมก็คือ ใบอนุญาต

ขับรถหรือใบขับขี่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 11 ชนิด ดังนี้
1. ใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราว อายุ 1 ปี
   – ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว
   – ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อชั่วคราว
   – ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
2. ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล อายุ 5
3. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล อายุ 5
4. ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ อายุ 3
5. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ อายุ 3
6. ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล อายุ 5
7. ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ อายุ 3
8. ใบอนุญาตขับรถบดถนน อายุ 5
9. ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ อายุ 5
10. ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นนอกจาก (1) ถึง (9) อายุ 5
11. ใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี (ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ) อายุ 1

โดยปัจจุบันใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงใบขับขี่แบบชั่วคราว และแบบ 5 ปี ซึ่งมีเอกสารและขั้นตอนในการต่อใบขับขี่ดังนี้

การต่ออายุใบขับขี่ จากชนิดชั่วคราว (2 ปี) เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่ชั่วคราวอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี
   – บัตรประชาชนฉบับจริง
   – ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่ต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 
1. ตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ประกอบไปด้วย
   2.1 ทดสอบการมองเห็นสี ที่จำเป็นในการขับรถ
   2.2 ทดสอบสายตาทางลึก
   2.3 ทดสอบสายตาทางกว้าง
   2.4 ทดสอบปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
3. ถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่
4. ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใบขับขี่ 505 บาท


**หมายเหตุ: ผู้ขับขี่สามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วัน หรือ 2 เดือน หากขาดต่ออายุใบขับขี่ กรณีสิ้นอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะต้องสอบข้อเขียนใหม่ หากสิ้นอายุเกิน 3 ปี เพิ่มขั้นตอนการอบรม, ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับรถ

การต่ออายุใบขับขี่ จากชนิดชั่วคราว (2 ปี) เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่ชั่วคราวอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี
   – บัตรประชาชนฉบับจริง
   – ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่ต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน

การต่ออายุใบขับขี่ชนิด 5 ปี เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่เดิม หรือใบแทน    – บัตรประชาชนฉบับจริง

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่
1. ตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
   2.1 ทดสอบการมองเห็นสี ที่จำเป็นในการขับรถ
   2.2 ทดสอบสายตาทางลึก
   2.3 ทดสอบสายตาทางกว้าง
   2.4 ทดสอบปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
3. อบรม 1 ชั่วโมง
4. ถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่
5. ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใบขับขี่ 505 บาท

**หมายเหตุ: ผู้ขับขี่สามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน หรือ 3 เดือน หากขาดต่ออายุใบขับขี่ กรณีสิ้นอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะต้องสอบข้อเขียนใหม่ หากสิ้นอายุเกิน 3 ปี เพิ่มขั้นตอนการทดสอบข้อเขียน, การสอบขับรถ และใบรับรองแพทย์ที่ขอไว้ไม่เกิน 1 เดือน

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์โควิดระบาดต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย ใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว ยังใช้ได้ถึง 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน

และสำหรับผู้ต้องการต่ออายุใบขับขี่ สามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือนก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ โดยเข้าอบรมออนไลน์ได้ที่www.dlt-elearning.com และสามารถนำผลผ่านการอบรมออนไลน์ติดต่อสำนักงานขนส่งเพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถได้โดยไม่ต้องอบรมที่สำนักงานอีก

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.valvoline.co.th/information/tips/202119.php

เช็คนิสัย จากเลขทะเบียนรถ

เช็คนิสัย จากเลขทะเบียนรถ

ตัวเลขที่อยู่ในชีวิตเราล้วนมีอิทธิพลความเชื่อต่างๆ อยู่เสมอ วันนี้แม่หมอ Smile Insure จะพาทุกคนมาเช็คเลขตัวสุดท้ายของป้ายทะเบียนรถคุณ โดยที่เราจะใช้แค่เลข 1 ตัวเท่านั้น จาก 1 – 9 มาดูกันดีกว่าว่านิสัยคุณตรงตามนี้รึเปล่า? 

อย่างแรกเรามาดูวิธีการคิดกันก่อนดีกว่าค่ะ ตัวอย่างทะเบียนรถ กข 9124 ให้คุณนำตัวเลขทั้งหมดมาบวกกันดังนี้ 9+1+2+4 = 16  แต่ถ้านำมาบวกกันแล้วได้เลขสองหลัก ให้นำทั้งสองหลักนั้นมาบวกกันอีกที จะได้เป็น 1+6 = 7 ค่ะ แต่ถ้าหากได้เป็นเลข 1 หลัก ก็ได้ยึดเลขตามนั้นได้เลย

เลข 1

เลขนี้เป็นเลขที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ นิสัยของคนขับนั้นเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ค่อนข้างใจร้อน ไม่ชอบเป็นผู้ตาม เวลาขับรถจะเป็นคนที่ชอบขับซิ่งและไม่ชอบให้ใครมาขับจี้ ชอบขับบนถนนโล่ง ไฟสว่างที่มองเห็นชัด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ขับรถเลขทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลข 1 ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้บริหาร

เลข 2

เลขทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลข 2 ถ้าผู้ใช้เป็นผู้หญิงจะเป็นอะไรที่ดีมาก แสดงถึงความอ่อนโยนของคนขับ แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยการขับรถแบบนุ่มนวล อ่อนโยน มีความน่ารักแบบผู้หญิงซ่อนอยู่ แต่อารมณ์จะแปรปรวนง่ายมาก ตัดสินใจช้า ในบางครั้งใจอาจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร

เลข 3

เลขนี้บ่งบอกเลยว่าคุณเป็นคนใจกล้า ชัดเจน ตัดสินใจเด็ดขาด และใจร้อนมาก กล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะชอบความท้าทาย ถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่ชินก็พร้อมเดินหน้าลุยได้ทุกเมื่อ แต่บางทีการที่ตัดสินใจเร็วไป ก็อาจจะทำให้ต้องระวังในเรื่องความปลอดภัยเวลาขับรถมากขึ้น

เลข 4

นิสัยของคนที่เลขทะเบียนลงท้ายด้วยเลข 4 บ่งบอกเลยว่าคนๆ นี้มีการเดินทางบ่อยทั้งใกล้ และไกลเพื่อเจรจาในเรื่องการทำงาน เพราะเป็นคนที่พูดเก่ง เรียกได้ว่าเป็นคนมีวาทศิลป์ แต่บางครั้งก็อาจจะโลเล และเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ ค่อนข้างยากที่จะเดาทางได้ ไม่มีความแน่นอน สังเกตได้เลยว่ารถของคนเลขนี้มักไม่ค่อยมีระเบียบ หรือเรียกง่ายๆ ว่ารถรกนั่นเอง

เลข 5

เลขนี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวสูง มีความหนักแน่น ใจเย็น สุขุม และเป็นคนเก่งในด้านวิชาการ เมื่อขับรถก็จะขับช้าๆ ชิลๆ คันที่ตามหลังก็อาจจะหงุดหงิดได้บ้าง บางทีก็ชอบให้ทางผู้อื่น แต่คุณเป็นคนที่รักษากฎและมีวินัยจราจรมากๆ เลยล่ะ 

เลข 6

เลข 6 บ่งบอกเลยว่าคุณเป็นคนมีอารมณ์ศิลป์ ชอบฟังเพลง ร้องเพลงบนรถ มีเสน่ห์ที่น่าสนใจ อารมณ์นุ่มนวล งานที่ทำเหมาะจะเป็นเกี่ยวกับด้านงานศิลปะ บันเทิง แต่ในขณะเดียวกันคุณก็เป็นคนที่มีระเบียบ และก็รักรถมาก จะระมัดระวังในการขับตลอดเวลา ไม่ค่อยเจออุบัติเหตุ แต่ขอเตือนเลยว่า อย่าเพลิดเพลินกับการร้องเพลงจนเกิดอุบัติเหตุได้นะ 

เลข 7

คนเลขนี้ค่อนข้างเป็นขาลุย ใช้งานรถหนักเป็นประจำ เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความอดทน มีความละเอียด มักจะวางแผนไว้ก่อนทำอะไรบางอย่างเสมอ และเป็นคนที่หาเงินเก่งมาก แต่บางครั้งก็ต้องระวังเวลาขับรถเพราะคุณชอบวิตกกังวลแอบคิดเรื่องงานตลอด

เลข 8

เลขนี้เป็นคนที่มีไหวพริบดี พลิกแพลงเก่ง และมักแก้ไขสถานการณ์ได้ดี เพราะเป็นคนที่ชอบตัดสินใจเร็ว เวลาชอบอะไรก็จะชอบแค่แปปเดียว คุณเป็นคนที่ชอบการเสี่ยงโชค และมีความกล้าในการลงทุนกับอะไรบางอย่าง  คุณเป็นคนที่ใจกล้าเวลาขับรถ ชอบหาทางลัดเพื่อให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ซอยแคบแค่ไหนก็พร้อมไปหมด

เลข 9

นิสัยของเลข 9 จะเป็นคนที่มีความขยัน คล่องแคล่ว ชอบเดินทางไกล เป็นคนที่ทันสมัย อัพเดทเกี่ยวกับเรื่องปัจจุบันตลอดเวลา ชอบทำธุรกิจติดต่อการงาน การทำงานหนักของคุณจะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก

เป็นยังไงบ้างคะทุกคน ตรงกันบ้างมั้ยเอ่ย แต่ที่สำคัญกว่านั้น การขับรถอย่างมีสติ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เราได้หายห่วง ยิ่งทำประกันรถยนต์ไว้ก็อุ่นใจกว่าแน่นอน สนใจประกันประเภทไหนปรึกษา Smile Insure ได้เลย ทางเรามีประกันภัยชั้นนำจาก วิริยะ, กรุงเทพ, อาคเนย์, เมืองไทย, คุ้มภัยโตเกียวมารีน, แอลเอ็มจี, ไทยศรี, เอเชีย, สินทรัพย์, ธนชาต ให้คุณได้เลือกตามใจชอบเลยค่า

cr. smileinsure.co.th/blogs/เช็คนิสัย-จากเลขทะเบียนรถ

check-credit