เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ คืออะไร?

การโอนรถ เป็นการเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถยนต์คนเดิมมาเป็นชื่อเจ้าของใหม่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการซื้อ-ขายรถยนต์ การส่งต่อรถยนต์ เช่น การส่งต่อรถยนต์ให้คนในครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หรืออื่น ๆ  การดำเนินการมีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะการดำเนินคดีในทางกฎหมาย กรณีที่ขายรถยนต์ให้กับเจ้าของใหม่หรือมีการส่งต่อรถยนต์เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้มีการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่เป็นฝ่ายผิด หรือเกี่ยวข้องกับการใช้งานในเชิงที่ผิดกฎหมาย คนที่ถูกดำเนินคดีคือตัวเจ้าของรถเอง

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะตัดสินใจซื้อ-ขาย หรือส่งต่อรถยนต์ให้ใครก็ตาม เมื่อตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้โอนรถเป็นชื่อของผู้ซื้อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต 

โอนกรรมสิทธิ์รถมีกี่แบบ โอนยังไงได้บ้าง?

การโอนรถยนต์หรือโอนกรรมสิทธิ์ สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ โอนตรงและโอนลอย โดยมีขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกันดังนี้

1. การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบ “โอนตรง”

การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบโอนตรง สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการที่เจ้าของเก่าและเจ้าของใหม่เดินทางไปติดต่อทำเรื่องขอโอนรถกับนายทะเบียนที่สำนักงานขนส่ง ประเด็นสำคัญคือรถยนต์คันที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของจะต้องมีสภาพตรงกับข้อมูลในใบคู่มือจดทะเบียนรถ

กรณีที่ข้อมูลไม่ตรง จำเป็นจะต้องกลับไปทำการแก้ไขข้อมูลเพิ่มเติมให้ตรงกับสภาพจริงก่อน เว้นแต่กรณีที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของจากผู้ให้เช่าไปยังผู้เช่าซื้อ เป็นผู้ครอบครองรถตามรายการจดทะเบียน พูดง่าย ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพก่อน

2. การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบ “โอนลอย”

การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ โอนลอย เป็นการโอนรถโดยเจ้าของเดิม (ผู้ขายรถ) ทำการมอบเอกสารให้กับเจ้าของคนใหม่ (ผู้ซื้อ) ไปดำเนินการเองหลังจากจบการซื้อ-ขาย  ผู้ขายจะต้องทำการเซ็นชื่อกำกับไว้ที่เอกสารให้ครบ การโอนลอยรถถือเป็นการโอนรถที่ได้รับ

ความนิยมมากโดยเฉพาะในแวดวงเต็นท์รถมือสอง เนื่องจากช่วยให้ประหยัดเวลาในการดำเนินการของผู้ขาย 

แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ เพราะการโอนแบบนี้มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากรถยนต์คันดังกล่าวไปทำเรื่องผิดกฎหมาย ในขณะที่ยังไม่ได้ดำเนินการโอนรถให้เสร็จเรียบร้อย เจ้าของเดิมจะต้องเป็นผู้รับผิดทางกฎหมายนั่นเอง

การโอนรถใช้เอกสารอะไรบ้าง?

อย่างที่บอกไปแล้วว่าการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ สามารถโอนให้กับบุคคลได้หลากหลาย ดังนั้นเอกสารที่จำเป็นต้องใช้จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

เอกสารโอนรถแบบโอนตรง

  • ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถยนต์คนเก่า และเจ้าของรถยนต์คนใหม่
  • สัญญาการซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
  • แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว

เอกสารการโอนรถให้ญาติหรือผู้รับมรดก

  • ใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
  • แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว
  • สัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
  • สำเนาใบมรณบัตรเจ้าของรถ (กรณีเจ้าของเดิมเสียชีวิต) และคำสั่งศาลหรือพินัยกรรม พร้อมสำเนาที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ
  • หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ (ผู้ขายที่เป็นเจ้าของเดิม) และของผู้รับมอบอำนาจ (ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของใหม่)

เอกสารโอนรถแบบโอนลอย

  • ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถยนต์คนเก่า และเจ้าของรถยนต์คนใหม่
  • สัญญาการซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
  • แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว
  • หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบ (ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของใหม่)

ขั้นตอนการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ ใช้เวลานานมั้ย?

สำหรับการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของมีขั้นตอนการดำเนินการที่ง่ายมาก แถมยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย สามารถเลือกไปดำเนินการได้ที่สำนักงานขนส่ง ดังนี้

  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร หากรถยนต์คันที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของมีทะเบียนที่กรุงเทพฯ หรืออยู่ที่กรุงเทพฯ สามารถเข้าไปดำเนินการที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครได้เลย
  • สำนักงานขนส่งจังหวัด หากตัวเจ้าของรถและรถยนต์อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ สามารถเลือกเข้าไปดำเนินการยังสำนักงานขนส่งประจำจังหวัดที่อาศัยได้เช่นกัน
  • สำนักงานขนส่งจังหวัด ที่มีระบุในคู่มือจดทะเบียนรถ หากมีความสะดวกในการเดินทาง สามารถเลือกดำเนินการที่สำนักงานขนส่งที่ระบุไว้ในใบคู่มือหรือที่มีการขอแจ้งใช้รถไว้ก็ได้ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนโอนกรรมสิทธิ์รถ
  1. เดินทางไปยังสำนักงานขนส่งที่สะดวก พร้อมกับนำรถยนต์ที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของ เข้ารับการตรวจสภาพรถได้ที่สถานตรวจสภาพรถ หรืออาคารตรวจสภาพรถ ที่สำนักงานขนส่งนั้น ๆ
  2. ติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องโอนเปลี่ยนเจ้าของรถยนต์ พร้อมกับแนบเอกสารประกอบ และชำระค่าธรรมเนียม
  3. หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอรับเอกสารใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน พร้อมกับรับใบเสร็จรับเงิน เครื่องหมายการเสียภาษี และแผ่นป้ายทะเบียนรถ 

สำหรับระยะเวลาในการรอเล่มตามปกติแล้วจะใช้เวลา 15 วันทำการ หลังจากที่ทำการยื่นเรื่องโอนรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะต้องทำการแจ้งนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่โอน หากไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นจะมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท

ขั้นตอนการโอนประกันรถยนต์

หลังจากดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมโอนประกันรถยนต์เพื่อให้รถคันที่เปลี่ยนเจ้าของได้รับความคุ้มครองดังเดิม ซึ่งมีรูปแบบการโอน 2 กรณีคือ การโอนประกันรถยนต์แบบไม่ระบุผู้ขับขี่ และการโอนประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ โดยมีเอกสารที่จำเป็นต้องเตรียม ดังนี้

1. การโอนประกันรถยนต์ที่ไม่ระบุผู้ขับขี่

กรณีประกันรถยนต์ที่เจ้าของรถคนเดิมทำเอาไว้แล้วไม่ได้ระบุชื่อคนขับ ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้นไหนก็ตาม เจ้าของใหม่สามารถใช้กรมธรรม์นั้นต่อได้เลย รวมถึงยังจะได้รับความคุ้มครองจนกว่าประกันจะหมดอายุ แต่ถึงอย่างนั้นควรแจ้งเปลี่ยนกับทางบริษัทประกันให้เรียบร้อย พร้อมกับเตรียมเอกสารดังนี้

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของเดิม ที่มีการเซ็นยินยอมให้โอนประกันภัยแก่เจ้าของคนใหม่
  • ใบซื้อ-ขายที่เป็นหลักฐานการซื้อ-ขายรถยนต์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของใหม่

2. การโอนประกันรถยนต์ที่ระบุผู้ขับขี่

กรณีที่เป็นประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ จะต้องมีการแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้ขับขี่ เพื่อให้บริษัทประกันปรับปรุงอัตราค่าเบี้ยประกันตามคุณสมบัติของเจ้าของรถคนใหม่ หากไม่ดำเนินการแจ้งเปลี่ยนให้เรียบร้อย เมื่อเกิดอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิด ผู้ที่เป็นเจ้าของกรมธรรม์เดิมจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเอง ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช่ความผิดของตนทันที

 โดยการโอนประกันรถยนต์รูปแบบนี้ จะต้องเตรียมเอกสารดังนี้

  • เอกสารยินยอมการโอนชื่อผู้รับผลประโยชน์ ที่เจ้าของกรมธรรม์ (ผู้ขาย) จะต้องยื่นขอกับบริษัทประกัน
  • ใบซื้อ-ขายที่เป็นหลักฐานการซื้อ-ขายรถยนต์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของใหม่ และขอให้ถอดชื่อเจ้าของเดิมในกรมธรรม์ออก

ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดและขั้นตอนการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ ที่เรานำมาบอกต่อคุณอย่างละเอียดยิบ บอกเลยว่าเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังต้องการซื้อ-ขายรถ หรือส่งต่อรถยนต์อย่างแน่นอน

8 อันดับ ยี่ห้อรถหรูในไทย ปี 2023

1. Ferrari Thailand

เบอร์หนึ่งในใจของใครหลายคน กับค่ายรถเจ้าของสัญลักษณ์และฉายา “ม้าลำพอง” กับแบรนด์เฟอรารี่ที่ในตอนนี้มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอยู่ภายใต้การดูแลและการจัดการในเครือตระกูล “อยู่วิทยา” ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย 

สำหรับการจำหน่ายรวมไปถึงการซ่อมบำรุง ดูแลรักษา ภายใต้ชื่อ “คาวาลลิโน มอเตอร์” ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Ferrari S.p.A และ Ferrari APAC ให้นักขับชาวไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของเฟอรารี่ที่มีความโดดเด่นที่สุดในการออกแบบ ชิ้นส่วนทุกอย่างถูกสร้างและขึ้นรูปด้วยมือ เรียกว่าแต่ละคันจะผ่านการพิถีพิถันในการสร้างสรรค์อย่างสุด ๆ จึงถือได้ว่าเป็นค่ายรถในฝันของใครหลายคน โดยรถที่ถือเป็นไอคอนเด่นของปี 2023 ในเวลานี้ได้แก่ Ferrari SF90 Spider ที่มีราคาสูงถึง 49 ล้านบาทกันเลยทีเดียว

2. Lamborghini Thailand

อีกหนึ่งค่ายรถแบรนด์ซุปเปอร์คาร์จากอิตาลีอีกหนึ่งแบรนด์ที่ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของม้าลำพองเฟอรารี่นั่นก็คือ Lamborghini ที่ได้เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้การจัดการดูแลของบริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ โดยการบริหารจัดการของ “อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ซึ่งพลพรรคเหล่านักขับบิ๊กไบค์ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เขาคือตัวแทนผู้นำเข้ารถจักรยานยนต์ดูคาติ

โดยความพิเศษของรถแลมโบกินี่คือพลังเครื่องที่แรงจัด พร้อมกับการออกแบบตัวถังที่ขึ้นรูปทำกันทีละคัน เรียกว่าเป็นความเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในรถแต่ละคันที่ถูกผลิตออกมา สำหรับสนนราคาของกระทิงดุแดนมักกะโรนีที่อยู่ในการจับจองของเหล่านักสะสมรถชาวไทยได้แก่ Lamborghini Huracán Tecnica ที่พร้อมเปิดตัวในราคาเริ่มต้น 22.98 ล้านบาท 

3. McLaren Thailand

สำหรับแฟน ๆ ที่ชื่นชอบการแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ต้องไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ McLaren กับเรื่องราวของการขับเคี่ยวเพื่อตำแหน่งแชมป์โลกระหว่างแมคลาเรนและเฟอรารี่ ที่กลายเป็นตำนานให้มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ ถึงตอนนี้ได้เวลาที่แฟน ๆ รถสปอร์ตกระเป๋าหนักในไทยจะได้เป็นเจ้าของรถที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่งขันแล้วกับ McLaren Thailand   

ความพิเศษของรถ McLaren คือการออกแบบรถให้เหมาะกับหลักการพลศาสตร์ ดังนั้นรถของค่ายนี้จึงเน้นไปยังความโค้งมนไม่ต้านลม สามารถทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม โดยรถรุ่นที่โดดเด่นสำหรับนำเสนอให้กับนักขับชาวไทยได้แก่ McLaren 765 LT ซึ่งมีราคาค่าตัวสูงถึง 56 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้นเพื่อเอาใจนักขับรุ่นใหม่ ทางค่ายได้ผลิตรถสปอร์ตราคาย่อมเยาลงมาอย่าง McLaren Artura ในราคา 16 ล้านบาทเป็นตัวเลือกด้วย ถูกใจรุ่นไหนก็หอบเงินไปเป็นเจ้าของกันได้สำหรับแบรนด์นี้ 

4. Aston Martin Thailand

ภาพลักษณ์รถหรูคู่ความอัจฉริยะที่มาพร้อมกับภาพจำของรถประจำตัวเจมส์ บอนด์ สายลับจากภาพยนตร์ระดับโลกคือมนต์เสน่ห์ที่ใคร ๆ ต่างอยากเป็นส่วนหนึ่งในความล้ำสมัยในรูปแบบนั้น และ Aston Martin พร้อมตอบโจทย์ให้กับคุณได้ ตอนนี้ในไทยได้ขยายฐานการจำหน่ายมาให้กับลูกค้าในประเทศไทยด้วยกำลังซื้อที่น่าจับตามองในงานมอเตอร์โชว์ ทำให้แอสตัน มาร์ตินพร้อมนำเสนอโมเดลรถรุ่นใหม่ที่น่าสนใจจากทางค่ายมามอบให้กับนักขับชาวไทยสัมผัสแล้ว 

โดยเน้นการออกแบบในรูปทรงสปอร์ตที่มีขนาดกะทัดรัด แต่เต็มไปด้วย “พลัง” การขับเคลื่อนชั้นสูง มากไปกว่านั้นคือความหรูหราแบบขั้นสุดที่แบรนด์ไหนก็เทียบได้ยาก โดยทางค่ายยังเลือกผลิตรถในรูปแบบ SUV มาให้พิจารณาเป็นตัวเลือกอีกด้วย รุ่นที่ได้รับความสนใจจากนักขับชาวไทยได้แก่ Aston Martin Vantage V8 ที่สนนราคากะทัดรัดเพียงแค่ 17 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนใครที่ชอบความอเนกประสงค์ในรูปแบบของ SUV ต้องไม่พลาดกับรุ่นนี้ Aston Martin DBX V8 Turbo ด้วยราคาค่าตัว 19 ล้านบาท

5. Mercedes-Benz Thailand

ค่ายรถหรูระดับตำนานที่ยังคงครองใจนักขับชาวไทยอยู่เสมอมาจาก “เมืองเบียร์” เยอรมนี กับการออกแบบรถหรูสำหรับผู้บริหารรวมไปถึงรถสปอร์ตที่ออกแบบมาอย่างงดงามทันสมัย  โดยความพิเศษของรถเบนซ์ Mercedes-Benz คือความแข็งแกร่ง บึกบึน ทนทายาด กับเรื่องราวของ “ ซื้อมาแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อม” เพราะชิ้นส่วนทุกอย่างถูกออกแบบมาในระดับที่เรียกว่า “ดีที่สุดจากวัสดุที่สุดยอดที่สุด” ทำให้ทุกการขับขี่รถเบนซ์ในแต่ละรุ่นนั้นเต็มไปด้วยคุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ความล้ำสมัย โดยในปี 2023 ทางค่ายได้ส่ง C220d Avantgarde รถสำหรับผู้บริหารในราคาเบา ๆ เพียง 2.73 ล้านบาทออกมาให้ได้จับจองกันแล้ว

6. BMW Thailand

อีกหนึ่งค่ายรถยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมันที่ทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี BMW ที่เป็นอีกหนึ่งค่ายรถที่เน้นความโอ่อ่าตระการตา พร้อมกับความแข็งแกร่งทนทานด้านการใช้งาน และด้วยการออกแบบที่เน้นความทันสมัยและดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตา ทำให้รถจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยูยังคงได้รับการยอมรับในทุกรุ่นที่ถูกนำเสนอเข้ามาสู่ท้องตลาด ในเวลานี้โมเดลสำคัญของทางค่ายได้แก่ BMW XM ที่เน้นโครงสร้างที่ใหญ่โต โอ่อ่า ดูหรูหราเหนือระดับกับราคา 14.89 ล้านบาท 

7. Audi Thailand

ค่ายรถที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ผลิตยนตรกรรมแห่งอนาคต” แม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นนักขับรถหรูชาวไทยเลือกรถรุ่นนี้มาใช้งานกันมากนัก แต่ด้วยค่านิยมของเศรษฐีระดับไฮเอนด์ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาต่างเลือกรถรุ่นนี้กันมากยิ่งขึ้น ด้วยความใส่ใจในการผลิตในทุกขั้นตอนทำให้รถจากค่ายออดี้ได้รับเลือกให้เป็นรถประจำตัวกันเพิ่มมากขึ้น โดยรถไอคอนประจำปี 2023 ได้แก่ The new Audi e-tron GT ที่มาจับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่เน้นความทันสมัยทั้งภายนอกและภายใน โดยสนนราคาค่าตัวที่ 6.39-6.79 ล้านบาทเท่านั้น

8. Porsche Thailand

สุดท้ายกับค่ายรถแบรนด์หรูในตำนานที่ทุกคนต่างอยากเป็นเจ้าของ กับค่ายรถพอร์ชหรือปอร์เช่ กับการออกแบบทางโครงสร้างที่มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าใครอยู่เสมอ ทำให้รถจากค่าย Porsche ได้รับการหมายตามองกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อวิ่งอยู่บนท้องถนน เรียกว่าใบจองมีมาเมื่อไหร่ก็หมดไปด้วยความรวดเร็ว ในปี 2023 ที่ออกแบบรถเพื่อตอบสนองความหลากหลาย ทั้งรถสปอร์ตไฮเอนด์ รถเปิดประทุนแบบ coupe  แม้กระทั่งรถเก๋งแนวซิตี้คาร์ก็มีให้เลือก โดยรถที่ถือเป็นเรือธงของค่ายในเวลานี้ได้แก่ Porsche 911 กับราคาสุดพิเศษ 10.99 ล้านบาท

5 ขั้นตอนต่อภาษีรถยนต์ ทำง่าย ออนไลน์-ใกล้บ้าน อัปเดต ปี 2566

ภาษีรถยนต์ เป็นเรื่องที่เจ้าของรถทุกคนต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการถือครองเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของรถ สำหรับการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน เพียงแต่ต้องหมั่นตรวจเช็คภาษีรถยนต์ ทั้งในส่วนของวันเวลาหมดอายุ ขั้นตอนการเดินเรื่อง เพราะการนำรถที่ไม่ได้ต่อภาษีหรือหมดอายุแล้วออกไปใช้งานตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกจะถือว่า “เป็นรถที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้” เพราะถือว่าผิดกฎหมายจะต้องถูกปรับตามขั้นตอนกระบวนการที่เกิดขึ้น ดังนั้นในแต่ละปีเจ้าของรถควรทำการบันทึกหรือตรวจสอบภาษีรถยนต์ของตนเองอยู่เสมอว่า ถึงเวลาที่จะต่อภาษีใหม่แล้วหรือยัง

วันนี้รู้ใจแชร์ทริคและขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์ ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ได้มั้ย? ต้องเตรียมตัวเตรียมเอกสารอะไร? ต้องตรวจสภาพรถมั้ย? เป็นทริคที่ไม่ว่าจะมือใหม่หัดขับและเจ้าของรถทุกคนควรรู้ ด้านล่างนี้เลย

ทำไมต้องจ่ายภาษีรถ?

ภาษีรถยนต์ คือ การจ่ายภาษีสำหรับรถยนต์ของคุณเพื่อการใช้งานบนท้องถนน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้จากภาษีรถที่เจ้าของรถจ่ายไปนั้นนำมาบำรุงถนน ทั้งการสร้างถนนใหม่ ซ่อมแซม ปรับปรุง รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้มีความพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ และอีกหนึ่งเหตุผลคือ ป้องกันรถผิดกฎหมายเข้ามาในระบบ เช่น รถที่ถูกโจรกรรมมา เป็นต้น โดยการต่อภาษีจะต้องมีการระบุชื่อของเจ้าของรถเอาไว้เพื่อการตรวจสอบและใช้งานอย่างถูกต้อง  

เรื่องควรรู้ก่อนต่อภาษีรถยนต์ในแต่ละครั้ง

การต่อภาษีรถยนต์ในแต่ละรอบที่เจ้าของรถต้องใส่ใจและหมั่นตรวจสอบวงรอบการต่อภาษีในแต่ละครั้งเพื่อให้เจ้าของรถสามารถนำรถไปต่อภาษีได้ตามช่วงเวลา ไม่เกิดความผิดพลาดใด ๆ จึงขอแนะนำขั้นตอนการต่อภาษีแบบง่าย ๆ อ่านครั้งเดียวจบ ดังต่อไปนี้

1. ตรวจสอบเวลาภาษีหมดอายุ

สามารถตรวจสอบเวลาหมดอายุของภาษีรถยนต์ของคุณได้จากแผ่นป้ายรูปสี่เหลี่ยมที่ได้มาหลังจากต่อภาษีในแต่ละครั้ง โดยจะมีการระบุการใช้งานและวันหมดอายุเอาไว้ซึ่งมีระยะเวลา 1 ปี นับจากการต่ออายุ

2. เผื่อระยะเวลาสำหรับการต่อภาษี

เจ้าของรถสามารถนำรถมาต่อภาษีได้ก่อน 90 วันที่ป้ายภาษีจะหมดอายุ เพื่อให้เจ้าของรถสามารถจัดการทุนทรัพย์และเวลาได้ทันท่วงทีก่อนที่ภาษีรถจะหมด

3. เตรียมเอกสารสำคัญก่อนต่อภาษี

การต่อภาษีรถยนต์ เอกสารที่ต้องเตรียมเอาไว้คือสมุดประจำรถ ซึ่งจะใช้เป็นตัวจริงหรือตัวสำเนาก็ได้ พร้อมทั้งหลักฐานการทำประกันภัยที่กฎหมายได้บังคับเอาไว้หรือ พ.ร.บ. รถยนต์นั่นเอง และเอกสารสำหรับการตรวจสภาพรถยนต์ในกรณีที่รถยนต์ที่ใช้อยู่นั้นมีอายุ 7 ปีขึ้นไป หรือรถมีการดัดแปลงสภาพจะต้องมีเอกสารฉบับนี้แนบไปทุกครั้งในการต่อภาษีรถยนต์ด้วย

4. ต่อภาษีรถยนต์ ที่ไหนดี?

ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้บริการได้ตามความสะดวกและความเหมาะสมของเจ้าของรถ ดังนี้

  • สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นรถป้ายทะเบียนของจังหวัดนั้นก็สามารถยื่นเรื่องขอจ่ายภาษีได้
  • ที่ทำการไปรษณีย์
  • เคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
  • การต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์
  • ห้างสรรพสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ “ชอปให้พอแล้วต่อภาษี” (Shop Thru For Tax)
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)
  • จุดบริการเลื่อนล้อต่อภาษีรถยนต์ (Drive Thru For Tax)
  • จุดให้บริการตรวจสอบสภาพรถยนต์และต่อภาษีรถยนต์ โดยจะมีค่าบริการอยู่ที่ 200-300 บาท ต่อคัน

5. อัตราค่าบริการสำหรับการต่อภาษี

สำหรับอัตราค่าบริการในการต่อภาษีรถยนต์นั้นจะคำนวณจากที่นั่งรถ และขนาดของกำลังเครื่องยนต์เป็นหลัก โดยข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกได้ระบุอัตราการจ่ายภาษีไว้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเอาไว้ดังต่อไปนี้

  • เครื่องยนต์ขนาด 1-600 ซีซี – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 50 สตางค์
  • เครื่องยนต์ขนาด 601-1,800 ซีซี – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 1.50 บาท
  • เครื่องยนต์ขนาด 1,801 ซีซี ขึ้นไป – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 4 บาท

นอกจากนั้น สำหรับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมาหลายปีแล้ว หากต้องการต่อภาษีรถ ทางกรมการขนส่งทางบกได้ออกระเบียบการมอบส่วนลดให้สำหรับการต่อภาษีให้อีกด้วย โดยมีรูปแบบของส่วนลดต่าง ๆ ดังนี้

  • อายุการรถยนต์เกิน 6 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 10%
  • อายุการรถยนต์เกิน 7 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 20%
  • อายุการรถยนต์เกิน 8 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 30%
  • อายุการรถยนต์เกิน 9 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 40%
  • อายุการรถยนต์เกิน 10 ปีขึ้นไป รับส่วนลดค่าภาษี 50% 

แต่ถ้าหากเป็นรถยนต์ประเภทอื่น เช่น รถกระบะสำหรับการขนส่งสินค้า หรือรถโดยสารประจำทาง รถยนต์ที่ใช้ในการรับส่งผู้โดยสาร จะต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดเอาไว้ 

7 เทคนิคขับรถตอนฝนตกอย่างปลอดภัย

ช่วงฤดูฝนถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีความระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นทัศนวิสัยการมองเห็น ยิ่งฝนตกถนนลื่น ความลำบากในการควบคุมรถยิ่งมากขึ้น สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันที่ทำให้ฝนตกหนักมาก มาพร้อมกับสายลมที่รุนแรงฝนที่โหมกระหน่ำหนัก รวมถึงอาจมีน้ำท่วมอีกด้วย ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ระหว่างขับรถเราจะต้องทำยังไง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ควรต้องระวังและใส่ใจมาก เพราะยังมีประสบการณ์และเทคนิคการขับรถน้อย รู้ใจขอพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมและเทคนิคการขับรถตอนฝนตกอย่างถูกวิธีที่จะทำให้การเดินทางของคุณในทุกเส้นทางเต็มไปด้วยการขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้คุณสามารถขับรถหน้าฝนได้อย่างมีสติอีกด้วย อะไรบ้างที่ทุกคนต้องรู้ ไปดูเลย 

1. ความพร้อมของรถ

สิ่งแรกที่จะทำให้การขับรถในช่วงฤดูฝนเกิดความปลอดภัยอย่างสูงที่สุด คือการเตรียมรถของคุณให้พร้อมนั่นเอง ทั้งระบบยาง ระบบเบรครถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงยางปัดน้ำฝน อุปกรณ์เล็ก ๆ แต่มีผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็นของคุณ 

ดังนั้นก่อนเข้าสู่หน้าฝนแต่ละปี เจ้าของรถควรพารถเข้าเช็คสภาพรถว่ามีอุปกรณ์ส่วนใดชำรุดเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่พร้อมต่อการใช้งาน ควรทำการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านั้นในทันทีเพื่อการขับขี่ปลอดภัย อย่าปล่อยให้เข้าถึงหน้าฝนก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะบางครั้งมันหมายถึงการพารถที่ไม่มีความพร้อมเข้าไปสู่สถานการณ์อันตรายได้นั่นเอง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ที่ยังมีประสบการณ์และเทคนิคการควบคุมน้อยอาจเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้

2. ตรวจสอบเส้นทางก่อนเดินทาง

ก่อนการเดินทางในช่วงฤดูฝน หากเป็นไปได้ควรทำการตรวจสอบเส้นทางก่อนการเดินทางในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ ว่ามีการจราจรติดขัดในบริเวณนั้นมั้ยหรือกำลังมีฝนตั้งเค้าเข้ามาในพื้นที่หรือเปล่า การติดตามข้อมูลต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมให้คุณไม่ต้องเสี่ยงขับรถลุยน้ำเมื่อตกหนักมากได้

3. ลดความเร็ว

สิ่งแรกที่นักขับรถทุกคนควรทำตอนขับรถท่ามกลางสายฝนคือการลดความเร็วในการเดินทางของคุณลงมา เพราะเมื่อฝนตกในแต่ละครั้งไม่ว่าจะหนักหรือเบามีผลต่อการควบคุมและบังคับรถทั้งสิ้น โดยปกติแล้วความเร็วเดินทางที่ปลอดภัยตอนฝนตกควรอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเป็นความเร็วที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย

4. ห้ามลืมเปิดไฟหน้าหรือไฟส่องสว่าง

ไม่ว่าในจะตกหนักหรือเบาควรเปิดไฟหน้าและไฟท้ายให้สว่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น รวมไปถึงเป็นการแจ้งตำแหน่งรถของตัวเองให้กับทุกคนได้ทราบอีกด้วย

5. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ใหญ่

หากคุณสามารถเลือกเส้นทางได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในพื้นที่ที่มีต้นไม้หนาแน่นเพราะมีโอกาสที่กิ่งไม้จะหักตกลงมาใส่รถของคุณจนเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ แต่หากไม่มีทางเลือกจริง ๆ จำเป็นต้องใช้เส้นทางที่มีต้นไม้เยอะ การเลือกหยุดรถรอจนกว่าฝนจะซาแล้วค่อยเดินทางต่อไปก็จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่า

6. จอดรถเมื่อฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง

แต่หากฝนตกหนักมากจนการเปิดไฟหน้ารถไม่ช่วยให้คุณมองเห็นทางได้อย่างชัดเจน ควรจอดรถเพื่อความปลอดภัย ยิ่งในปัจจุบันมีทั้งจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน จุดจอดรถของหน่วยงานราชการอยู่เป็นจำนวนมากสามารถจอดรถหยุดพักได้ ที่สำคัญไม่ควรจอดรถไว้ริมถนนหรือพื้นที่น้ำหลาก เพราะอาจเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันตามมาได้อีกด้วย 

7. ตรวจสอบอุปกรณ์รถยนต์

เมื่อถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างให้มีความพร้อมต่อการใช้งานเป็นสิ่งที่จำเป็น  โดยเฉพาะระบบเบรกกับระบบไฟว่ายังคงทำงานได้ดีอยู่มั้ย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเดินทางครั้งต่อไปนั่นเอง

ทำไมบริษัทประกันภัยต้องมอบส่วนลดประวัติดีให้ลูกค้า?

การมอบส่วนลดประวัติดีให้กับลูกค้าที่ “ขับดีไม่มีเคลม” ไม่มีปัญหาการเฉี่ยวชน บริษัทประกันภัยเล็งเห็นแล้วว่าเจ้าของรถมีความเสี่ยงน้อยที่จะสร้างการใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปีนั้น ๆ จึงสามารถนำมาเป็นส่วนลดให้ในปีถัดไป อีกทั้งความทันสมัยในการบันทึกข้อมูลในตอนนี้ แทบจะรู้ในทันทีเลยว่าเจ้าของรถมีประวัติการขับขี่ยังไง หากประวัติการขับขี่ของคุณไม่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือมีโดยที่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด สิ่งนี้จะสร้างความไว้วางใจให้กับบริษัทประกันภัยที่จะมอบส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกในปีถัดไป 

อยากได้ส่วนลดประวัติดี ต้องทำยังไง?

วิธีที่คุณจะเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ส่วนลดประวัติดีง่าย ๆ คือ ต้องไม่มีการเคลม ยิ่งไม่เคลมนานเท่าไหร่ ส่วนลดประวัติดีก็จะยิ่งมากขึ้น และถ้าคุณปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ที่เรานำมาฝาก โอกาสที่คุณจะได้รับส่วนลดประวัติดีมีมากขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น 

1. พฤติกรรมการขับรถ

สิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถพิจารณาได้ว่าคุณคือผู้ถูกเลือกสำหรับการรับส่วนลดประวัติดี นั่นคือ วิธีการขับรถของคุณเองนั้นเป็นยังไง เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครบอกก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวของคุณเอง หากคุณคือ ผู้ขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรทุกครั้ง มีความระมัดระวังในการขับขี่อยู่เสมอ เชื่อเหลือเกินว่า ยังไงคุณมีโอกาสได้รับส่วนลดนี้แน่นอน

2. ประสบการณ์ขับขี่

ประสบการณ์ด้านการขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ บางคนแม้ว่าจะขับรถระมัดระวังแค่ไหน แต่มีประสบการณ์การขับรถน้อยเกินไป การตัดสินใจในสภาวะที่คับขัน หรือในพื้นที่ที่เส้นทางจราจรมีขนาดเล็กอาจเลี่ยงโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้น้อย ประสบการณ์ในการขับขี่จึงถูกนำมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการมอบส่วนลดประวัติดี

3. หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุ

ทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ คือการไม่นำตัวเองเข้าไปในความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่ป้องกันคุณจากอุบัติเหตุได้ไม่มากก็น้อย เช่น ถ้าง่วงนอนไม่ต้องฝืนขับ เมาแล้วไม่ควรขับ หรือหากไม่ชำนาญในเส้นทางที่จะไป การขับรถในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น

ส่วนลดประวัติดีคำนวณยังไง?

สำหรับการมอบส่วนลด ประกันรถยนต์ประวัติดี หรือ No Claim Bonus โดยส่วนใหญ่แต่ละบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขกำหนดการพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ทุนที่ใช้สำหรับการเคลมประกันว่าใช้ไปแล้วมากน้อยแค่ไหน จำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน สิ่งเหล่านี้จะถูกนำพิจารณาเป็นส่วนลดในรูปแบบของ “ประวัติดี” เอาไว้ให้เจ้าของรถได้พิจารณาสำหรับการต่อประกันภัยใหม่ด้วย 

NCB จะมอบส่วนลดให้ในรูปแบบขั้นบันไดที่อาจมีความแตกต่างกันไปในส่วนของเปอร์เซ็นต์การลดแต่ก็จะไม่ค่อยหนีกันมาก ดังข้อมูลต่อไปนี้

  • ส่วนลดประวัติดี 20% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลมในปีแรก
  • ส่วนลดประวัติดี 30% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 2 ปี ติดต่อกัน
  • ส่วนลดประวัติดี 40% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 3 ปี ติดต่อกัน
  • ส่วนลดประวัติดี 50% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 4 ปี ติดต่อกัน

นั่นหมายความว่า หากคุณเป็น “ผู้ขับที่ดี” ไม่เคยพารถไปประสบอุบัติเหตุ เฉี่ยวชน จนเกิดความเสียหายจนต้องเคลม ในปีที่ 5 คุณจะได้รับส่วนลดในการทำประกันสูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต้องจ่าย ซึ่งนับว่า “เป็นส่วนลดที่สูงมาก”

ลอกสติ๊กเกอร์ติดรถทำง่ายไม่ทิ้งคราบกาว

การลอกสติ๊กเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่เก่าแล้ว หรือสติ๊กเกอร์ที่ยังดีอยู่แต่จำเป็นต้องลอกออกจากตัวถังรถ จะมีเทคนิคและวิธีการจัดการยังไง

1. ใช้ไดร์เป่าผม

อุปกรณ์ตัวช่วยอย่างแรกที่จะทำให้การลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถเป็นไปด้วยความง่ายดายและรวดเร็วคือ ไดร์เป่าผมที่ใช้อยู่ตามบ้านนั่นเอง วิธีลอกสติ๊กเกอร์นี้จะใช้การเป่าลมร้อนที่มีผลทำให้กาวสติ๊กเกอร์ละลาย ทำให้เจ้าของรถหรือผู้รับผิดชอบในการลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังทำงานได้โดยง่าย โดยใช้ไดร์เป่าผมเปิดลมที่ไม่แรงมากนัก ค่อย ๆ ไล่เป่าไปตามสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ ความร้อนจากไดร์เป่าผมจะช่วยละลายกาวด้านหลังของสติ๊กเกอร์ทำให้สามารถลอกออกมาได้ หลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดในส่วนของกาวที่ยังตกค้างอยู่ให้ลอกออกไปทั้งหมด

2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือครีมอเนกประสงค์

อีกหนึ่งวิธีลอกสติ๊กเกอร์ที่น่าสนใจคือ การใช้น้ำยาขัดเคลือบต่าง ๆ หรือน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ทั้งแบบสเปรย์หรือแบบครีม การใช้น้ำยาเหล่านี้จะใช้ก็ต่อเมื่อทำการลอกสติ๊กเกอร์ออกไปแล้วและต้องการไล่ลบคราบสติ๊กเกอร์ที่ยังติดอยู่ตามตัวถังรถ ด้วยคุณสมบัติในการลดการยึดเกาะของน้ำยาอเนกประสงค์จึงทำให้การนำไปทากับสติ๊กเกอร์ที่ยังติดแน่นอยู่นั้นสามารถหลุดลอกออกมาได้ง่าย เมื่อสติ๊กเกอร์พองตัวและหลุดออก คุณก็สามารถลอกออกมาแล้วใช้น้ำยาอเนกประสงค์เช็ดซ้ำทำความสะอาดอีกทีได้

3. ใช้น้ำส้มสายชู

ถือเป็นอีกหนึ่งน้ำยาอเนกประสงค์สำหรับการขจัดคราบต่าง ๆ ได้อย่างสะอาดหมดจด น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับกัดสีรถจนก่อให้เกิดความเสียหาย สิ่งนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีอีกอย่างสำหรับการล้าง เช็ด เพื่อเอาสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถ คุณสามารถใช้วิธีการพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูเข้าไปยังจุดที่ติดสติ๊กเกอร์หรือการใช้ผ้าชุบเช็ดและค่อยขัดถูไปเรื่อย ๆ จนกว่าสติ๊กเกอร์และคราบกาวทั้งหมดจะหลุดออกไปทั้งหมด เพียงเท่านี้ สติกเกอร์ก็จะหลุดออกมาได้

Cr. Roojai

3 สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อโดนชนแล้วหนี

ในการขับรถในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัญหาที่ใคร ๆ ต่างไม่อยากพบเจอคือโดนชนแล้วหนี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แนะนำทริคในการรับมือเมื่อโดนชนแล้วหนี ดังนี้

1. ตั้งสติและเก็บหลักฐานให้ครบ

สิ่งแรกเมื่อประสบเหตุโดนชนแล้วหนี คือตั้งสติ ดูความเสียหายทุกอย่างให้ครบถ้วน เก็บหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตัวเอง ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญไม่ควรขยับรถออกจากที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะอาจมีกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์รถชนที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากคุณเลื่อนรถไปจากตำแหน่งที่เกิดเหตุในทันที อาจทำให้กระบวนการตรวจสอบทุกอย่างผิดเพี้ยนได้ การเก็บข้อมูลทุกอย่างจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อใช้ประกอบเอกสารพิจารณาสำหรับการเคลมประกันในลำดับต่อไป

2. ติดต่อตัวแทนประกันทันที

หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ให้รีบติดต่อกับบริษัทประกันภัยที่รับผิดชอบดูแลกรมธรรม์ประกันภัยในทันที โดยในเบื้องต้นจะเป็นการตรวจสอบกรมธรรม์ขั้นพื้นฐานว่ามีการดูแลคุ้มครองอยู่ในระดับไหน เพราะในปัจจุบันนี้บริษัทประกันภัยประกันทุกแห่งได้เพิ่มมาตรการด้านความคุ้มครองเอาไว้สูงมากขึ้น หากคุณได้ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือแผนอื่น ๆ ที่คุ้มครองอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีหรือในกรณีที่คู่กรณีหนีหายไปในรูปแบบนี้ ทางบริษัทยังคงสามารถดำเนินการเรื่องประกันต่อไปให้คุณได้ นอกจากนั้นแล้วบริษัทประกันภัยจะแจ้งการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป เช่น หากคุณส่งภาพถ่ายของสถานที่เกิดเหตุ และเก็บหลักฐานเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว ทางตัวแทนประกันอาจไม่จำเป็นต้องมายังที่เกิดเหตุและคุณสามารถเลื่อนหรือเคลื่อนย้ายรถไปได้

3. แจ้งความในทันที

สำหรับการเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบของการถูกชนแล้วหนี ผู้ประสบเหตุต้องรีบดำเนินการแจ้งความในทันทีเพื่อลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ นอกจากจะสามารถกู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุจากกล้องวงจรปิดของทางหน่วยงานได้อย่างรวดเร็ว การมีเอกสารในการแจ้งความนี้จะทำให้การยื่นเรื่องเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการเคลมประกันทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเอกสารที่สำคัญมากที่จะเป็นการยืนยันให้ทราบได้ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง

Cr. Roojai

ท่าจับพวงมาลัยบ่งบอกนิสัย

นอกจากการทำนายนิสัยตามวันเกิด ราศีเกิด ยังมีอีกสิ่งที่สามารถทำนายนิสัยคุณและความเป็นตัวตนได้ คือไลฟ์สไตล์ ความชอบ อากัปกิริยาอาการต่าง ๆ ที่คุณทำในแต่ละวัน โดยเฉพาะท่าทางการแสดงออกมาแบบธรรมชาติโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวอย่างท่าทางการจับพวงมาลัยรถยนต์ขณะขับรถ ก็สามารถทำนายได้คร่าว ๆ บอกนิสัยได้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน?

1. การจับพวงมาลัยในตำแหน่งซ้ายขวาเท่ากัน

สำหรับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มักมีชื่อเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า การจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา กล่าวคือเป็นการจับพวงมาลัยที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เท่ากันในระดับความสูงทั้งซ้ายและขวา สำหรับคำบอกเล่าถึงอุปนิสัยของผู้ที่นิยมการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ จะมีนิสัยชอบความเรียบร้อย สมบูรณ์แบบ หรือที่มักเรียกกันว่าเป็น Perfectionist นั่นเอง ซึ่งข้อดีสุด ๆ คือมีความมุ่งมั่นในการทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และจริงจัง แต่บางครั้งอาจไม่สามารถยอมรับความบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

2. การวางมือข้างใดข้างหนึ่งไว้ที่ก้านพวงมาลัย

อีกหนึ่งบุคลิกที่แสดงออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ ขณะขับรถนั่นคือการใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับที่ก้านพวงมาลัย สำหรับความหมายที่สื่อออกมากับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ คุณเป็นคนรักการผจญภัย ชื่นชอบความท้าทาย  และมองหาสิ่งแปลกใหม่มาเติมเต็มให้กับชีวิตคุณในทุกเวลา พร้อมทั้งชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ

3. การหงายมือขึ้นจับใต้พวงมาลัย

สำหรับการจับพวงมาลัยรถยนต์ในรูปแบบนี้พบเห็นกันได้น้อยมาก เพราะดูเป็นการจับพวงมาลัยในรูปแบบที่ฝืนธรรมชาติอยู่พอประมาณ ซึ่งหากคุณพบใครก็ตามที่จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ บุคคลเหล่านั้นจะมีนิสัยที่มีความเป็นผู้นำสูง สามารถโน้มน้าวใจของผู้อื่นได้ดี เป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาของใคร ๆ อยู่ตลอด และเป็นนักควบคุมและออกคำสั่งที่เฉียบขาดอีกด้วย

4. การคว่ำมือลงจับใต้พวงมาลัย

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อยและเป็นเหมือนด้านตรงข้ามของการจับพวงมาลัยแบบหงายมือขึ้น จับใต้พวงมาลัย เพียงแต่เปลี่ยนเป็นคว่ำมือลง สำหรับอุปนิสัยที่จะพบเห็นได้ในคนกลุ่มนี้คือ คนกระตือรือร้น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าได้สนใจอะไรก็จะให้ความสนใจอย่างเต็มที่พร้อมกับเป็นนักสนับสนุนที่ดี และเป็นผู้มีความเมตตาสูงอีกด้วย

5. การจับพวงมาลัยด้านบนสุดด้วยมือเดียว

คนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์แบบนี้คือ จะจับด้วยมือข้างเดียวที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งโดยข้อแนะนำสำหรับการขับรถโดยทั่วไปถือว่าเป็นรูปแบบที่ไม่ค่อยปลอดภัย แต่ถึงกระนั้นด้วยนิสัยส่วนตัวของใครหลายคนยังคงมีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้อยู่ สำหรับอุปนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยแบบนี้คือบุคคลผู้เปรียบเสมือนศูนย์กลางที่มีแต่คนอยากอยู่รายล้อมรอบข้าง เป็นบุคลิกแห่งความใจเย็นที่แอบซ่อนอยู่ในตัว ใครอยู่ด้วยก็มีแต่ความรู้สึกสบายใจ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่ก็เป็นคนที่คนอื่นสามารถเข้ามาหาและพึ่งพาได้อยู่เสมอ

6. การจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างที่ก้านพวงมาลัย

แม้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะการควบคุมการหมุนพวงมาลัยด้วยการบิดจับที่ตำแหน่งก้านพวงมาลัยมีพื้นที่น้อยมาก การจับแบบนี้บอกนิสัยของผู้จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มีลักษณะเป็นคนเงียบขรึม เรียบ ๆ และไม่ชอบสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของตนเอง

7. การจับพวงมาลัยด้วยมือสองข้างที่ด้านบนสุดของพวงมาลัย

นับเป็นอีกหนึ่งลักษณะของคนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์ได้น่าสนใจ นั่นคือการที่ใครสักคนจะจับพวงมาลัยในตำแหน่งบนสุดหรือที่เรียกว่าตำแหน่ง 12 นาฬิกาด้วยมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคลิกของคนประเภทนี้คือ คนขี้กังวล ค่อนข้างจะตื่นตูม ใส่ใจในรายละเอียดมาก ตรวจสอบทุกอย่างอยู่บ่อย ๆ  ทำให้หลายคนมองดูว่าเป็นคนใจร้อน หลุกหลิก ไปซะอย่างนั้น

8. การจับพวงมาลัยแบบสลับบนล่าง

สำหรับท่าจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ หลายพื้นที่สอนการขับรถจะบอกว่าเป็นวิธีจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง เพราะท่าการขับรถนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถถ่ายโอนการควบคุมการหมุนพวงมาลัยไปยังมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคคลที่มีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในเหตุและผล ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นยังเป็นคนที่ได้รับการยอมรับและมักตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี แต่แอบมีความเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่นิด ๆ อีกด้วย

9. การจับพวงมาลัยพร้อมวางมือในตำแหน่งบีบแตร

สำหรับลักษณะนิสัยของผู้ชอบจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ เป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น ไม่ยอมใคร ดังนั้นอาจต้องใส่ความใจเย็นลงไปสักนิดสำหรับการควบคุมอุณหภูมิแห่งอารมณ์ที่มักพลุ่งพล่านอยู่บ่อย ๆ ให้ได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรบุคลิกที่น่าสนใจอีกประการคือการ “คิดไว ทำไว” ทำให้เป็นคนที่มีความก้าวหน้าในตัวเองอยู่เสมอ 

10. การจับกึ่งกลางพวงมาลัยซ้ายหรือขวาด้วยมือข้างเดียว

สำหรับการจับพวงมาลัยแบบนี้จะจับพวงมาลัยรถยนต์ในตำแหน่ง 9 นาฬิกาหรือ 3 นาฬิกาด้วยข้างใดข้างหนึ่ง บอกนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยรถในรูปแบบนี้คือ การรักความสบาย ทำอะไรแบบง่าย ๆ ไม่คิดมาก ไม่ชอบโอ้อวด และอาจเป็นคนที่ชอบเก็บตัวนิด ๆ อยู่ด้วย

Cr. Roojai

เบาะหนัง VS เบาะผ้า แบบไหนที่ใช่แบบไหนที่ชอบ

เป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนเหมือนกันในการเลือกเบาะที่เหมาะสมกับรถและการใช้งานของเราเพราะทั้งเบาะหนังและเบาะผ้าต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย มาเทียบกันชัด ๆ เลยดีกว่า ว่าแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

เบาะหนัง 

เบาะหนังรถยนต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือเบาะหนังแท้ และเบาะหนังเทียม เบาะหนังแท้จะทำจากหนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกและย้อมสี เพื่อให้หนังไม่มีกลิ่น ทนทาน และนุ่ม รวมทั้งมีความยืดหยุ่นเนื่องจากมีไขมันสัตว์ที่มีความชุ่มชื้น นอกจากคุณสมบัติการใช้งานแล้ว ภายนอกยังมีความหรูหรา ดูภูมิฐาน 

เบาะหนังเทียมสามารถแบ่งแยกย่อยได้เป็นเบาะหนังเทียมที่ทำจาก PVC (Polyvinyl Chloride) ที่นำมาซักย้อม เป็นเบาะที่มีคุณสมบัติคงทน ไม่นุ่ม แต่ก็ไม่ขาดง่าย ตัวเนื้อเบาะจะมีความกระด้าง เบาะหนังเทียมอีกประเภทจะทำจาก PU (Polyurethane) มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน ตัวเบาะมีความนุ่มคล้าย ๆ กับเบาะหนังแท้ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเบาะหนังที่ทำจาก PVC 

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

ข้อดีของเบาะหนัง 

ดีไซน์และสัมผัส 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากหนังจะโดดเด่นในเรื่องให้ความรู้สึกหรูหรา เรียบหรู ดูดี จึงอาจจะทำให้หลายคนตกหลุมรักในภาพลักษณ์ดังกล่าวของตัวเบาะหนัง นอกจากนี้ตัวเบาะหนังเองยังมีความนุ่มและยืดหยุ่นอีกด้วย

ทำความสะอาดง่าย 

เนื่องจากตัวเบาะหนังนั้นมีคุณสมบัติที่ไม่อบฝุ่นหรือดูดซับน้ำ จึงทำความสะอาดง่าย หมดห่วงเรื่องคราบฝังรากลึก 

ข้อเสียของเบาะหนัง

ดูดซับความร้อนง่าย ระบายความร้อนช้า 

สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาหากเลือกใช้เบาะหนังคือการถ่ายเทความร้อนของตัวเบาะหนัง เนื่องจากเบาะหนังมีคุณสมบัติดูดซับความร้อน และระบายความร้อนได้ช้ากว่าเบาะผ้า ในขณะเดียวกัน หากอยู่ในสภาพอากาศหนาวจัด ก็อาจจะพบปัญหาการดูดซับอากาศเย็นทำให้เบาะเย็นเร็วได้อีกด้วย 

ต้องดูแลรักษาให้เบาะหนังเงางาม

แม้ว่าเบาะหนังจะทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ดูดซับฝุ่นก็จริง แต่ก็ต้องมีการดูแลรักษาเพื่อให้เบาะยังคงเงางามไร้รอยขีดข่วน ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูง 

ราคาสูง

ไม่ว่าตัวเบาะหนังจะทำมาจากหนังแท้หรือหนังสังเคราะห์ ต่างก็ยังต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและละเอียด จึงทำให้ตัวเบาะหนังนั้นมีราคาแพงกว่าเบาะผ้า 

เบาะผ้า 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากผ้า เช่น ผ้าสังเคราะห์ หรือผ้ากำมะหยี่ ถือเป็นเบาะที่พบเห็นกันได้ทั่วไป เนื่องจากเป็นเบาะที่มีราคาถูก และซ่อมแซมได้ง่าย 

ข้อดีของเบาะผ้า

ราคาย่อมเยา

ข้อดีอันดับแรกของเบาะผ้าคือราคาที่ย่อมเยา เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำนั้นมีราคาไม่แพง ซึ่งแตกต่างกับเบาะหนังที่จะมีกระบวนการผลิตและวัสดุที่มีราคาแพง

ถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า

เนื่องด้วยตัวเบาะผ้ามีคุณสมบัติในการถ่ายเทและเก็บกักความร้อนที่ค่อนข้างสเถียรกว่าเบาะหนัง จึงทำให้เมื่อจอดอยู่กลางแดดหรือขับรถในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ตัวเบาะผ้าจะไม่อมความร้อนเท่ากับเบาะหนัง

ยึดเกาะร่างกายขณะขับทางโค้งได้ดี

ด้วยความที่เบาะผ้ามีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างลื่นน้อยกว่าเบาะหนัง ทำให้สามารถยึดเกาะร่างกายไม่ให้ไหลไปตามแรงเหวี่ยงของรถได้ดีกว่าเบาะหนัง 

ข้อเสียของเบาะผ้า

ทำความสะอาดยาก 

เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างอมฝุ่นและอมน้ำ เกิดเป็นคราบได้ง่าย ทั้งคราบน้ำ และคราบฝุ่นได้ง่าย 

เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

เบาะผ้าถือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ดี เนื่องจากมีความชื้นมากกว่าเบาะหนัง ทำให้เมื่อเปียกน้ำ จะสะสมความชื้นไว้ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อโรคตามมาได้

วิธีการดูแลรักษาเบาะหนังและเบาะผ้า

อย่างที่เกริ่นไปว่าเบาะหนังและเบาะผ้ามีความแตกต่างกัน ดังนั้นการดูแลรักษาเองก็ย่อมแตกต่างกันด้วย เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเบาะแต่ละแบบจะมีวิธีการดูแลรักษาที่ต่างกันอย่างไร 

การดูแลรักษาเบาะหนัง 

ใครที่เลือกใช้เบาะรถยนต์เป็นเบาะหนัง เราขอแบ่งขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดเบาะออกเป็นสองส่วน นั่นก็คือส่วนการทำความสะอาด และการบำรุงรักษาให้เงางาม

การทำความสะอาด

  1. ดูดฝุ่นทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นผงหรือเศษต่าง ๆ 
  2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหนังหรือน้ำสบู่เพื่อทำความสะอาดคราบที่ค่อนข้างเกาะแน่น
  3. ปล่อยให้เบาะหนังแห้งสนิท 

การบำรุงรักษา

  1. ใช้น้ำยาเคลือบเบาะหนังเพื่อให้เบาะหนังของคุณเงางาม 

การดูแลรักษาเบาะผ้า

การดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะผ้านั้น สามารถทำตามได้ดังนี้

  1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดฝุ่นและเศษผงต่าง ๆ ที่ติดเบาะ เพื่อให้เบาะของคุณสะอาดอยู่เสมอ และคงทนมากยิ่งขึ้น
  2. ในกรณีที่เบาะมีคราบน้ำหรือคราบเปื้อนฝังลึก แนะนำให้ใช้น้ำฉีดและนำแปรงมาขัด จากนั้นใช้ผ้าหรือทิชชูเช็ดให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้เปียกชื้นนาน เพราะอาจจะเกิดเชื้อโรคหรือเชื้อราได้ 

สรุปรวมเบาะหนัง VS เบาะผ้า ควรเลือกอะไรดี?

สำหรับหลายคนที่คิดไม่ตกว่าควรเลือกเบาะหนังหรือเบาะผ้าสำหรับรถยนต์คู่ใจของคุณ ทางเราต้องบอกว่าสามารถเลือกได้โดยตัดสินใจจากความชอบและลักษณะการใช้งานของเราได้เลย หากคุณชอบเบาะที่ให้สัมผัสเนียนเรียบ หรูหรา ก็สามารถเลือกเบาะหนังได้ ทั้งนี้ก็สามารถเลือกโดยเบสจากดีไซน์ภายในของรถเป็นหลักได้ อย่างเช่น บางดีไซน์อาจจะดูเหมาะกับเบาะหนังมากกว่า หรือบางดีไซน์อาจจะเหมาะกับเบาะผ้า 

หากคุณต้องการเบาะที่ราคาย่อมเยาว์ ใช้งานง่าย และระบายความร้อนได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการขับขี่รถกลางแจ้ง หรือต้องมีเหตุให้จอดรถกลางแจ้งบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถตัดสินใจได้จากวิธีการดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะแต่ละประเภท เลือกแบบที่คุณคิดว่าเหมาะกับชีวิตประจำวันของคุณได้เลย

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.kaidee.com

4จุดที่ต้องตรวจสอบสำหรับรถเกิน10ปี

การดูแลรักษารถยนต์ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นรถรุ่นใหม่ หรือรถเก่าที่ไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรถของคุณเป็นรถเก่าที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป การเอาใจใส่เพื่อดูแลรักษารถยนต์ต้องทำอย่างพิถีพิถัน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รู้ใจชวนทุกคนมาเรียนรู้เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็น “รถเก่า” อายุเกิน 10 ปีหรือใกล้เคียง ให้สภาพรถยังดีกันดีกว่า ทำอย่างไรให้รถคันโปรดยังอยู่ในสภาพดีและสามารถใช้งานได้ในทุกเวลา มาเปลี่ยนตัวคุณให้เป็นนักซ่อมบำรุงรถชั้นดีเพื่อรถของคุณกันดีกว่า แม้ว่าจะเป็นรถเก่าอายุกว่า 10 ปี แต่ก็ยังน่าใช้น่าขับ จะมีอะไรบ้างที่ต้องดูแล ไปดูกัน!

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

1.ระบบเครื่องยนต์

จุดแรกที่เจ้าของรถต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ระบบเหล่านี้ยังใช้การได้ดีหรือไม่ อะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในระบบยังคงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า นั่นคือ ระบบเครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของรถเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าคุณคือนักสะสมรถแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี

แม้ว่ารถคันนั้นจะถูกใช้งานหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่มีอายุรถถึง 10 ขึ้นไป ต้องตรวจสอบเครื่องยนต์ทั้งระบบอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ระบบไฟฟ้าที่เดินในตัวรถทั้งหมด ระบบลูกสูบ ระบบหัวฉีดน้ำมัน ทุกอย่างยังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่ รวมไปถึงระบบชาร์จและสตาร์ทต่าง ๆ ซึ่งอะไหล่รถยนต์บางอย่างได้ถูกระบุเอาไว้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงหากมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ได้ใช้งานก็ตาม เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนทันที เพื่อรักษาประสิทธิภาพและสภาพรถให้คงอยู่ไว้อยู่เสมอ

2.ระบบเกียร์

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการตรวจสอบ ดูแลรักษารถยนต์ และรักษาสภาพรถที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปหรือใกล้เคียง ไม่ว่ารถคันนั้นจะอยู่กับคุณตั้งแต่เป็นรถใหม่ป้ายแดงเพียงผู้เดียวหรือการซื้อรถมือสองที่มีอายุประมาน 10 ปีขึ้นไป สิ่งที่ต้องตรวจสอบเป็นอย่างดีได้แก่ ชุดระบบเกียร์ต่าง ๆ นั่นเอง เพราะระบบเกียร์มีความสัมพันธ์กับเครื่องยนต์ในการที่จะพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งระบบเกียร์ในปัจจุบัน มีทั้งระบบเกียร์ธรรมดา ระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบเกียร์ CVT ที่มีวิธีการการบำรุงดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป เจ้าของรถทุกคนควรทำความรู้จักกับระบบเกียร์ของรถตัวเองให้ดีว่ามีชิ้นไหนที่ต้องเปลี่ยนตามเลขไมล์การใช้งานบ้าง

โดยส่วนใหญ่แล้ว อะไหล่รถยนต์ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษในส่วนของระบบเกียร์ ได้แก่ เฟืองเกียร์, โซลินอยด์เกียร์ และแผ่นคลัตช์เกียร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์ประเภทไหนต่างต้องใช้อะไหล่รถยนต์ในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตัวอะไหล่รถยนต์จะต้องมีความเหมาะสมและออกแบบมาเฉพาะตัวสำหรับการใช้งานในระบบเกียร์เฉพาะอย่างเท่านั้น ไม่ควรใช้อะไหล่เกียร์ในรูปแบบเปลี่ยนดัดแปลงแทนกัน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชุดระบบเกียร์ได้

3.ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ต้องทำการตรวจสอบให้ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ารถคันนั้นจะใช้งานมากหรือน้อยก็ตาม แต่เมื่อใดก็แล้วแต่ที่รถเก่าคันนั้นถูกใช้งานกว่า 10 ปี ยิ่งจำเป็นต้องตรวจสอบดูชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในส่วนนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ได้แก่ ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์ ซึ่งชุดเพลานี้ต่อตรงเข้ากับระบบเกียร์และห้องเครื่อง ทั้งหมดทำงานอย่างสอดประสานกันเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ด้วยพลังที่เต็มที่ ดังนั้น กับรถที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานแล้ว ความสึกหรอที่เกิดขึ้นกับชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ลดลงด้วย

สำหรับปัญหาที่มักพบเห็นอยู่เป็นประจำเมื่อรถคันใดใช้งานอย่างยาวนาน ความสึกหรอของเพลาจากการใช้งาน ทั้งในส่วนของชุดเพลาทั้งหมด, ดุมเพลาที่เชื่อมไปยังแกนล้อ และตลับลูกปืน คือสิ่งที่ต้องตรวจสอบดูคุณภาพของการใช้งานอยู่เสมอ

นอกจากนั้น ในส่วนของระบบช่วงล่างรถยนต์ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งด้วยเช่นกันที่ต้องตรวจสอบดูแลความพร้อมต่าง ๆ เอาไว้ให้ดี เพราะระบบช่วงล่างรถยนต์คือพื้นที่รับแรงทั้งหมดของรถขณะขับเคลื่อน และในส่วนของระบบเพลาและช่วงล่างรถยนต์มักเจอกับความร้อนอยู่เป็นประจำ และพื้นที่ที่มีความร้อนสูง เมื่อเจอกับอาการชื้นหรือพื้นที่เปียก สิ่งที่ตามมาคือการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่ารถที่อยู่ในแถบภาคกลางหรือภาคใต้นั้นต้องตรวจสอบช่วงล่างรถยนต์ให้ดี เพราะอาจเจอรถที่มีการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านี้แอบซ่อนมาด้วย

4.ซีลยางตามจุดรอบตัวรถ และระบบยางรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เป็นประจำ นั่นคือซีลยางต่าง ๆ ประเก็นปิดวาวล์ พร้อมทั้งยางรถยนต์สำหรับการใช้งาน ซึ่งความเสียหายของชิ้นส่วนเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงดูแลรักษารถยนต์หลักสิบหรือหลักร้อย กลับถูกปล่อยปละละเลยจนสร้างปัญหาใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรถอย่างง่าย ๆ เช่น ประเก็นน้ำมันหรือยางโอริงในห้องเครื่องปิดกั้นความชื้นไม่ได้ ทำให้ไอน้ำเข้าไปยังระบบเผาไหม้ ก่อให้เกิดความเย็นปะทะกับความร้อน ผลลัพธ์คือ การบวมพองของชุดกระบอกลูกสูบ ซึ่งถ้าเจ้าของรถตรวจสอบและทำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในทุกรอบระยะเวลา ย่อมป้องกันความสูญเสียอย่างมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนั้นแล้ว ซีลยางรอบคันรถ ทั้งยางขอบประตู หน้าต่าง ต้องใส่ใจตรวจสอบดูให้ดีว่ามีจุดไหนขาด หมดสภาพหรือไม่ เพราะแม้ซีลยางเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นอะไหล่รถยนต์ชิ้นใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ในทันที แต่ความเสียหายสะสมที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของยางเหล่านี้ ทำให้คนรักรถต้องร้องไห้มานักต่อนักแล้ว

และสุดท้ายกับยางรถยนต์ อีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เสมอ นั่นเพราะเป็นชิ้นส่วนที่ใครไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก จะสนใจก็ต่อเมื่อมันเริ่มมีปัญหาแล้ว เช่น ยางรถยนต์รั่วซึม ดอกยางรถยนต์หมด ไม่เกาะถนน ทำให้การขับขี่ไร้ประสิทธิภาพ และไร้ซึ่งความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รถเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีหรือใกล้เคียง ที่จอดเอาไว้เฉย ๆ ระบบยางรถยนต์ทุกส่วนและล้อยางรถยนต์ควรทำการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.roojai.com

check-credit