เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

หายสงสัยทำไมรถอับ!? 5 จุดภายในรถที่ถูกเมินและลืมทำความสะอาดมากที่สุด

รถยนต์เท่ห์ๆ ถือเป็นความภูมิใจอย่างนึงของหนุ่มๆ อย่างเรา ดูแลขัดสีฉวีวรรณให้เงาแว๊บ ปิ๊งปั๊ง ขับโฉบไปมาสาวๆ หนุ่มๆ พากันเหลียวหลังมอง แต่คุณรู้มั้ย?? มีบางจุดที่ถูกเมิน ไม่ใส่ใจและไม่ทำความสะอาดมันบ้างเลย ไม่ได้การณ์หละ แบบนี้เดี๋ยวสาวๆ จะหาว่าสวยแต่รูป จูบไม่หอม ไหนๆ จะทำให้รถเงาวิ๊ง ก็ต้องหันมาทำความสะอาดมันทุกซอกทุกมุมกันหน่อยหละนะ ไปดูๆ 5 จุดที่หลายๆ คนชอบเมินไม่ยอมทำความสะอาดจะมีจุดไหนกันบ้าง ดูแล้วสุดสัปดาห์นี้ก้ออย่าลืมดูแลกันน้าาาา

1.พรม

ใช่แว้วว อ่านไม่ผิดฮะ พรมนี่แหละที่หลายๆ คนมองข้าม บางคนอาจจะเถียงว่าล้างรถทุกครั้งก้อทำความสะอาดพรมนะ แต่คุณรู้มั้ย ส่วนพื้นใต้พรมหละทำความสะอาดกันรึเปล่า เอิ่ม!! จริงด้วยเนอะ ใต้พรมนี่แหละตัวเก็บฝุ่นและกลิ่นอับอย่างดีเลยทีเดียว วันไหนฤกษ์งามยามดี แวะไปให้ร้านรับทำความสะอาดพรมแบบมืออาชีพดูแลกันบ้าง 3 เดือนครั้งก้อยังดีนะฮะ เพื่อความสะอาดและสุขภาพของผู้ขับขี่เอง จะได้ไม่ต้องสูดฝุ่นเข้าปอดกันโน๊ะ

2. ที่เก็บของท้ายรถ

ถึงแม้ตรงนี้จะไม่มีคนนั่งก็เถอะนะ แต่เราๆ ก็มักจะขนนั่นขนนี้ใส่ท้ายรถตลอดไม่ใช่เหรอ รองเท้า, อุปกรณ์กีฬา, ของกินของใช้ต่างๆ นั่นแหละตัวการทำร้ายรถอย่างนึงเลย ลองนึกดู… คุณทำความสะอาดท้ายรถครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยเปิดมันออกมาดูแลจริงจังมั้ย T_T  พรมปูท้ายรถมันถูกออกแบบมาให้ยกทำความสะอาดได้ง่ายสุดๆ อ้อ แต่อย่าลืมเช็ดคราบต่างๆ ใต้ฝายางสำรองที่อยู่ข้างใต้ด้วยหละ เพื่อความสะอาดเอี่ยมอ่องในทุกๆ จุด

3. ผ้าใต้หลังคารถ

มั่นใจเลยว่าร้อยละ 90 ไม่เคยทำความสะอาดผ้าใต้หลังคาเลย คุณรู้ไหม…พื้นที่ตรงนี้เป็นตัดดักกลิ่นควันบุหรี่,กลิ่นอาหารได้ดีเลยทีเดียว คงไม่ดีแน่ๆ ถ้ารถสวยๆ มีกลิ่นอับหรือคราบสกปรก แต่หลายๆ คนมักจะมองข้ามมันไป แค่เอื้อมมือไปเช็ดมันหน่อยคงไม่เสียเวลาหรอกเนอะ เพียงใช้ผ้านุ่มๆ กับ Turtle wax เช็ดออก แค่นี้ก็หมดกลิ่นกวนใจ แถมยังได้รถสวยๆ หอมๆ กลับมาอีก

4. ที่วางแก้ว

หลายคนแอบคิดว่า โอ๊ยย จะต้องเช็ดมันไปทำไม เดี๋ยวก้อวางแก้วน้ำทับมันไปหละ แต่ๆ คุณคิดผิดนะ คราบน้ำคราบเหนียวๆ จากน้ำหวานนี่แหละตัวดี พอแห้งแล้วมันเป็นคราบเหนียวหนึบหนับทำความสะอาดยากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าขี้เกียจเลยนะฮะ มันทำความสะอาดง่ายม๊าก..มาก แค่ยกแผ่นยางรองมาล้างๆ เช็ดคราบภายในนิดหน่อย แค่เนี่ยมันก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ แถมไม่มีคราบอะไรมาให้หงุดหงิดใจด้วย

5. เบาะ

เชื่อเลยว่าบางจุดคุณเมินมันไปแน่นอน ตะเข็บเล็กๆ ระหว่างเบาะและพื้นที่รอยต่อพนักพิงกับเบาะนั่ง นั่นแหละแหล่งสะสมคราบและเศษอาหารอย่างดีทีเดียว ว่างๆ ดูดฝุ่นตามรอยตะเข็บหรือใช้แปรงปัดคราบและเศษอาหารออกกันบ้างเนอะๆ จะได้สะอาดหมดจด ไร้คราบ ทุกๆ จุดกันไปเลย

      เห็นไหมหละฮะ บางจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราปล่อยละเลยกันไป มันอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคดีๆ เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้วคงต้องหาเวลาทำความสะอาดรถกันครั้งใหญ่ จะได้สะอาดเอี่ยม ไร้คราบ ไร้เชื้อโรค ขับผ่านใครๆ ก็เหลียวหลัง ใครมานั่งรถก็สูดอากาศสดชื่น ไม่ต้องทนสูดกลิ่นอับและเชื้อโรคเข้าปอด แหม่ๆ เห็นไหมว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัวแหนะ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : Pepperrr – Nattaprang Wasbunjuang

cr. http://auto.sanook.com/59515/

Mercedes-Benz X-Class 2017 กระบะเบนซ์เปิดตัวอย่างเป็นการแล้ว

Mercedes-Benz X-Class 2017 ใหม่ล่าสุด ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก เปี่ยมดีไซน์หรูควบคู่กับความบึกบึน

หลังจากที่มีทีเซอร์และภาพสปายช็อตของ ‘กระบะเบนซ์‘ มาก่อนหน้านี้ ล่าสุด Mercedes-Benz X-Class 2017 ใหม่ ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยพัฒนาร่วมกันระหว่างเมอเซเดส-เบนซ์ และ Renault-Nissan Alliance โดยใช้แพล็ตฟอร์มเดียวกับ Nissan Navara ในปัจจุบัน และ Renault Alaskan ที่จะวางจำหน่ายในอนาคต

แม้ว่าตัวถังด้านข้างจะมีเหลี่ยมสันคล้ายคลึงกับกระบะ Nissan Navara แต่ดีไซน์ด้านหน้ามีความเป็นเบนซ์อยู่เต็มเปี่ยม ด้วนไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์เอกลักษณ์ของเมอเซเดส-เบนซ์ ติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งกันชนด้วยสีดำเพิ่มความบึกบึน ติดตั้งราวหลังคาสีเงินพร้อมบันไดข้าง สปอร์ตบาร์พร้อมไฟเบรกบนกระบะท้าย พร้อมไฟท้ายทรงตั้งดีไซน์เรียวบาง ติดตั้งกันชนท้ายมาให้ในตัว

X-Class 2017 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย X-Class Pure ที่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ ตามด้วย X-Class Progressive สำหรับการใช้งานทั่วไป และ X-Class Power สำหรับการใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์ ซึ่งแต่ละรุ่นมีการตกแต่งภายนอกและภายในแตกต่างกันออกไปตามกลุ่มลูกค้า

ภายในห้องโดยสารถูกติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้านดีไซน์คุ้นตา ติดตั้งหน้าจอระบบอินโฟเทนเม้นท์ขนาด 8.4 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมระบบ COMAND บริเวณคอนโซลกลางระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า ติดตั้งช่องแอร์ทรงกลม พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ซึ่งการตกแต่งภายในอาจดูไม่หรูหราเท่ากับรถตระกูลซีดานและเอสยูวีของค่าย แต่ก็ถือว่าพรีเมียมเอาการหากมองว่านี่คือรถกระบะที่สามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ได้

Mercedes-Benz X-Class 2017 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกทั้งหมด 2 เกรด เริ่มต้นด้วยรุ่น X220d ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และรุ่น X250d ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Biturbo ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า โดยในอนาคตจะเพิ่มเครื่องยนต์ 165 แรงม้า ในรุ่น X200 และเครื่องยนต์ดีเซล V6 ในรุ่น X350d ที่ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร

เมอเซเดส-เบนซ์ ระบุว่า X-Class สามารถรองรับน้ำหนักการบรรทุกได้ถึง 1.2 ตัน และสามารถลากจูงน้ำหนักพ่วงได้ราว 3.8 ตัน พร้อมความสูงจากพื้นถนน 202 มิลลิเมตร ที่สามารถเพิ่มเป็น 222 มิลลิเมตร ด้วยช่วงล่างแบบออฟโรดที่ต้องสั่งเป็นอ็อพชั่นเสริม

ทั้งนี้ Mercedes-Benz X-Class 2017 จะเริ่มวางจำหน่ายในเยอรมันและยุโรปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 37,294 ยูโร หรือราว 1.45 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับ C-Class Coupe ที่มีราคาเริ่มต้น 36,022 ยูโร หรือราว 1.4 ล้านบาทในเยอรมนี

credit: auto.sanook.com/59453/

Kaidee ชี้ Toyota-Honda นำโด่งรถขนาดเล็ก 5 อันดับแรกที่ถูกค้นหามากที่สุด

Kaidee (ขายดี) แหล่งซื้อ-ขายของมือสองออนไลน์เผย Toyota และ Honda เป็นสองแบรนด์ยอดนิยมที่คนมองหารถมือสองที่มีเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซีค้นหามากที่สุด

รถยนต์ขุมพลังต่ำกว่า 1.5 ลิตร หรือ 1,500 ซีซีเป็นหนึ่งในเซกเมนท์ที่มียอดขายสูงมายาวนานหลายปี กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมักเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน มองหารถคันแรกที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุมและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่สูงมากนัก แน่นอนว่าแบรนด์รถยนต์ที่มีความแข็งแกร่งอย่าง Toyota และ Honda มักดึงดูดใจลูกค้าทั้งมือหนึ่งและมือสองได้มากกว่าด้วยความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมายาวนาน

จากการเก็บสถิติบนแพลตฟอร์มในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ Kaidee พบว่ารถเครื่องยนต์ขนาดเล็กหรือต่ำกว่า 1,500 ซีซีที่ถูกค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก มีดังนี้

5. Toyota Soluna (โตโยต้า โซลูน่า)

ถึงแม้จะมีอายุอานามค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีซื้อ-ขายในตลาดมือสองกันพอสมควร ด้วยคุณสมบัติที่นักเลงรถมือสองชื่นชอบ ทั้งอะไหล่หาง่าย ไม่จุกจิก และประหยัดน้ำมันพอตัว แถมยังมีค่าตัวที่ไม่สูงมากนักด้วย

4. Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส)

ราคาจำหน่ายป้ายแดงทะลุหลัก 1 ล้านบาท ส่วนมือสองมีค่าตัวอยู่ในย่าน 8 แสนบาทเศษ Ford Focus เครื่องยนต์อีโคบูสต์ (EcoBoost) พ่วงเทอร์โบ ความจุ 1.5 ลิตรเป็นรถที่หลายคนชื่นชอบเพราะดีไซน์ที่หล่อเหลาสะดุดตาและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมสไตล์รถอเมริกัน

3. Honda City (ฮอนด้า ซิตี้)

ที่สุดแห่งรถยอดนิยมที่เชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยนั่งในโฉมใดโฉมหนึ่งเป็นแน่ City อยู่คู่ตลาดเมืองไทยมายาวนานกว่า 20 ปี มีหลากหลายระดับราคามือสองให้เลือกสรรตามปีที่ผลิต เรียกว่าเป็นรถที่ซื้อง่ายขายคล่องอย่างแท้จริง

2. Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ส)

อีกหนึ่งรถที่คนหนุ่มสาวชื่นชอบใช้งาน เพราะรูปทรงที่ดูอ่อนวัยกว่าซิตี้ และบรรทุกสัมภาระได้มากกว่าโดยแจ๊สได้ชื่อว่าเป็นรถที่มีความกว้างขวางที่สุดในระดับเดียวกันจึงรองรับการใช้งานอย่างอเนกประสงค์ ราคาค่าตัวก็พอคบหาได้อย่างไม่ยากเย็น

1. Toyota Vios (โตโยต้า วิออส)

สุดยอดรถซีดานขนาดเล็กขวัญใจคนไทยที่นิยมใช้กันตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาไปจนถึงคนทำงานและคนสูงอายุ โดดเด่นด้วยชื่อชั้นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การดูแลรักษาง่ายดาย อะไหล่หาง่ายและไม่แพง แถมยังเป็นหนึ่งในรถยอดนิยมตลอดกาลในตลาดรถมือสองเมืองไทยอีกด้วย

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : Kaidee

สนับสนุนเนื้อหา

cr. http://auto.sanook.com/58523

5 สิ่งที่ต้องเช็คทันทีก่อนเข้าหน้าฝน

ช่วงนี้ใกล้ฤดูฝนเข้ามาทุกทีแล้ว สิ่งที่เจ้าของรถจะต้องไม่ลืม คือ ความพร้อมของรถยนต์เพื่อขับขี่ท่ามกลางสายฝน เพราะถนนที่เปียกลื่นถือเป็นปัจจัยสำคัญของอุบัติเหตุช่วงหน้าฝน

1.ใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝนมีความสำคัญมาเป็นอันดับ 1 ในช่วงฤดูฝน เพราะทัศนวิสัยที่ย่ำแย่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นหลายเท่าตัว หากพบว่าใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ปัดไม่เกลี้ยง ก็ควรรีบเปลี่ยนทันที ค่าใช้จ่ายก็เพียงไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักพันต้นๆเท่านั้น แถมยังเปลี่ยนเองได้ไม่ต้องง้อช่างอีกด้วย

2.ยางรถยนต์

ยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะยางที่ดอกโล้น จะทำให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลง ส่งผลให้รถเสียหลักได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเจอแอ่งน้ำในขณะที่ใช้ความเร็วสูง หากตรวจเช็คสภาพยางแล้วพบว่าดอกยางมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็ควรรีบเปลี่ยนทันที ซึ่งปัจจุบันมีโปรโมชั่นยางรถยนต์มากมายให้ใช้บริการ ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่าย แม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นยางที่มีราคาถูก แต่ก็ยังปลอดภัยกว่ายางที่ดอกโล้นเป็นไหนๆ

3.ระบบไฟส่องสว่าง

ควรเช็คระบบไฟส่องสว่างทุกจุดรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ไฟท้าย, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟตัดหมอก ฯลฯ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามองเห็นถนนได้ดีขึ้นยามฝนตกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นเราได้ง่าย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลงได้อีกเยอะ และควรใช้สัญญาณไฟให้เหมาะสมทุกครั้งที่ฝนตกด้วย

4.น้ำฉีดกระจก/ไฟหน้า

อย่าลืมเช็คระดับน้ำหม้อพักสำหรับฉีดกระจกบานหน้าและหลัง (ถ้ามี) ให้เต็มอยู่เสมอ เพราะบางคนอาจไม่เคยเปิดใช้งานเลยในช่วงหน้าร้อน ทำให้ปล่อยปละละเลยในการเติมน้ำเป็นประจำ ซึ่งน้ำฉีดกระจกจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเจอน้ำสกปรก, น้ำโคลน หรือฝ้าขึ้น เป็นต้น

5.เช็คระบบเบรกและ ABS

ระบบเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะการเบรกแบบฉุกเฉินจะใช้ระยะเบรกบนถนนเปียกมากกว่าถนนแห้ง การดูแลระบบเบรกให้สมบูรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุลงได้ หากเริ่มมีเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ ออกมาทุกครั้งที่เหยียบเบรกแล้วล่ะก็ แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้ว

อีกทั้งยังควรเช็คระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS – Anti-lock Brake System) แม้จะไม่มีสัญญาณเตือนบนหน้าปัดก็ตาม โดยการหาที่โล่งๆ ใช้ความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. ลองเหยียบเบรกแบบเต็มกำลัง หากมีเสียงครืดๆ เป็นจังหวะ และรู้สึกถึงอาการสั่นที่แป้นเบรก แสดงว่าระบบ ABS ยังคงทำงานอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเหยียบแล้วล้อเกิดล็อคตายจนทำให้มีเสียงยางบดถนนดัง ‘เอี๊ยด’ ยาวๆ แสดงว่าระบบเอบีเอสมีปัญหาแล้ว

     สิ่งเหล่านี้ถือเป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ควรเช็คเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม แต่เมื่อเข้าฤดูฝนก็ควรใส่ใจตรวจเช็คเป็นพิเศษ หากมีชิ้นส่วนใดต้องเปลี่ยนก็ควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าซ่อมรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆครับ

สนับสนุนเนื้อหา

cr. http://auto.sanook.com/58521

ตรวจแถว Eco Car มือสองยอดนิยมที่ควรเก็บ…..หลุดจากรถคันแรก

งานนี้ รถยนต์ที่เข้าข่ายโครงการฯ มีตั้งแต่ กลุ่มรถซับคอมแพ็ค (Sub Compact) กลุ่มรถกระบะ (Pickup) และกลุ่มรถน้องใหม่ ที่มาเปิดตลาดได้ไม่นานคือ กลุ่มรถยนต์ประหหยัดพลังงาน (Eco Car) ก่อกำเนิดยานยนต์จากหลายค่ายออกอาละวาดสู่ท้องถนนเมืองไทยทั้งในรูปแบบซีดานและแฮทช์แบค 5 ประตู

และด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งความคล่องตัวในการใช้งานในเมือง ความสะดวกสบาย รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองที่สามารถทำได้ ในระดับหนึ่ง ล้วนเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้รถต่างเลือกซื้อ Eco Car มาไว้ใช้ไม่ว่าจะเป็นคันที่สอง หรือสาม มาจอดไว้ในโรงรถ เป็นต้น โดยทีมงาน Autodeft ได้รวบรวมเหล่ารถ Eco Car มือสองที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถมากที่สุด 5 รุ่นด้วยกันโดยเป็นรุ่นรถที่อยู่ในโครงการรถคันแรกตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ปี 2554 ถึง 31 ธันวาคม ปี 2555 ดังนี้

1. Nissan March Eco Car รุ่นแรกของเมืองไทย

ยานยนต์ Eco Car จากค่ายเพื่อนที่แสนดี ขอประเดิมลงตลาดครั้งแรกจนสร้างยอดจองมหาศาลกว่า 5,000 คันหลังเปิดตัวเพียง 2 สัปดาห์ ในร่าง Hatchback 5 ประตูพร้อมความโดดเด่นในรูปลักษณ์อ้วนป้อมมีเสน่ห์เสริมความเด่นออฟชั่นที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็น ปุ่ม Push Start พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบพับ 60 : 40 กับความอัจฉริยะของระบบเกียรอัตโนมัติ Xtronic CVT กับเกียร์ธรรมดา ผสานขุมพลังจอมประหยัดจากเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตรที่ให้ความประหยัดน้ำมันสูงสุด 20 กม./ลิตร

ทำให้ Nissan March กลายเป็นรถ Hatchback เล็กที่ถามถึงกันมาก ด้วยราคามือสองตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน เริ่มที่ 195,000 – 359,000 บาท ตามสภาพและปีของตัวรถ

2. Nissan Almera Eco Car ซีดานรุ่นแรกของเมืองไทย

หลังทำตลาด Nissan March เพียง 1 ปี ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งคู่หูออกตลาดในร่างซีดาน4 ประตู กับจุดแข็งเน้นความเรื่องความสบายที่มากขึ้นด้วยภายในที่กว้างขวางนั่งสบาย ดุจรถยนต์นั่งระดับคอมแพ็คจนถึงขนาดกลางพร้อมขุมพลังยกชุดจาก March ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตร พร้อมเกียรอัตโนมัติ Xtronic CVT กับเกียร์ธรรมดา จนกลายเป็น Eco Car ซีดานที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และเป็น Eco Car อีกหนึ่งรุ่นในตลาดรถมือสอง ที่มองหาเป็นเจ้าของสำหรับคนเมืองที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัว เริ่มต้นทำงานด้วยราคามือสองที่เด่น ตั้งแต่ 245,000 – 388,000 บาท

3. Suzuki Swift………..Eco Car ออพชั่นเพียบ

ตามมาติดๆกับเจ้าพ่อรถเล็กที่ขอกระโดดเข้าร่วมตลาด Eco Car ด้วยรูปทรง Hatchback 5 ประตู คล้ายละม้ายกับรถ MINI รวมถึงการตัดสินใจใช้เครื่องยนต์เบนซิน K12B 1.2 ลิตร 4 สูบ 91 แรงม้า แรงบิด 118 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และ เกียร์ธรรมดา ผสมกับออฟชั่นที่ให้มาไม่วาจะเป็น ปุ่ม Push Start พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบพับ 60 : 40 แถมเป็น Eco Car เจ้าเดียวที่ติดตั้ง Cruise Control ให้เพื่อความสบายในการเดินทางไกล และ Paddle Shift สร้างความเร้าใจทุกกการขับขี่ จนกลายเป็นรถ Eco Car อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจนเป็นที่สนใจจากสาวกและยังสามารถต่อยอดตกแต่งได้ตามต้องการ ด้วยราคามือสองที่ดี่ที่สุดในตลาดตั้งแต่ปี 2555 เริ่มที่ 292,000 – 410,000 บาท

4. Mitsubishi Mirage Eco Car ที่ให้คุณได้มากกว่า

ค่ายทรีไดมอนด์นอกจากจะถนัดรถกระบะกับรถอเนกประสงค์แล้ว ด้านรถยนต์นั่งก็ไม่เป็นรองใคร จึงเล็งเห็นการเติบโตของตลาด Eco Car พร้อมนำชื่อ Mirage กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งด้วยรูปแบบ Hatchback 5 ประตู จากเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 78 แรงม้า แรงบิด 100 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ INVESC III CVT กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อมระบบปุ่ม Push Start กับ กุญแจอัจฉริยะ และสามารถพับเบาะหลังได้ ฯลฯ และด้วยราคามือสองที่ยังคุยกันได้ เริ่มที่ 199,000 -359,000 บาท

5. Honda Brio Amaze Eco Car ตัวตนเด่นด้วยท้ายสั้น

ปิดท้ายด้วย Eco Car ซีดานเล็กรุ่นที่ 2 ท้าชน Nissan Almera ด้วยการนำ Brio 5 ประตู มาออกแบบบั้นท้ายใหม่ที่สั้นกว่าใครในกลุ่ม กับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน I-VTEC 1.2 ลิตร 4 สูบ 90 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT กับออพชั่นบ้านๆที่ทุกค่ายมีเหมือนกันทั้งหมด ตั้งแต่ พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS วิทยุ MP3 เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ถึงแม้จะเป็นรถที่ไม่ค่อยโดดเด่นมากในเรื่องออพชั่นแต่ด้วยขุมพลัง ที่มีไม่กี่เจ้าที่ใช้เครื่องยนต์ แบบ 4 สูบส่งให้เจ้า Brio Amaze ก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้เจ้าอื่นๆ กับราคามือสองตั้งแต่ราคา 269,000 – 369,000 บาท

อ้างอิงราคารถมือสองจาก Taladrod (ราคารถมือสองอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์)

เรื่องและเรียบเรียงโดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)

cr. http://www.autodeft.com/buyingguide/second-hands-eco-car-thailand

หลากวิธีจัดการกับรถเมื่อเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึง

การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จนทำให้เกิดความเสียหายทั้งรถและคนอยู่เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบก็จะเป็นเมาหรือง่วงแล้วขับ และขับรถโดยประมาท แต่เราก็ต้องยอมรับว่าบางเหตุการณ์ก็มาจากสิ่งที่คาดไม่ถึงจากรถยนต์ของเรา วันนี้เราจะมาดูกันว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงเหล่านี้แล้ว เราควรต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้เราและคนอื่นๆปลอดภัย

1. ยางแตก

แน่นอนว่าก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง การตรวจสอบยางเป็นเรื่องสำคัญ ต้องคอยดูว่ายางอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้หรือเปล่า มีรอยแตก ปูด บวม หรือไม่ ถ้ามีก็ควรเปลี่ยนก่อนเดินทาง และควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติประมาณ 3-5 psi เพื่อลดการขยายตัวของยางด้วย แต่เมื่อขณะที่เราใช้ความเร็วแล้วยางดันแตกขึ้นมาพอดี สิ่งแรกที่ควรนึกอยู่เสมอก็คือ “ห้าม” เหยียบเบรกแรงเพื่อหยุดรถหรือดึงเบรกมือโดยเด็ดขาด เพราะการเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถโดยทันที จะทำให้รถเกิดอาการไถลออกข้าง ยิ่งถ้าเกิดยางที่แตกเป็นยางหน้า อาจทำให้รถหมุนหรือพลิกคว่ำได้เลย จากนั้นให้พยายามประคองพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงก่อน แล้วค่อยแตะเบรกทีละน้อยเพื่อค่อยๆชะลอความเร็ว แล้วประคองเข้าข้างทางจนรถหยุดสนิท จากนั้นก็ค่อยดำเนินการเปลี่ยนยางต่อไป

2. เบรกแตก

อาการเบรกแตกหรือเบรกหาย มีได้จากหลายสาเหตุ ทั้งตัวท่อเบรกรั่วหรือปั๊มเบรกเสีย ถ้าเมื่อไหร่เราขับอยู่แล้วกดแป้นเบรกแล้วมันไม่ทำงาน สิ่งแรกที่ต้องทำคือถอนเท้าออกจากคันเร่งแล้วคุมพวงมาลัยให้ดี จากนั้นให้ประคองรถให้อยู่ไกลกับคันอื่น สำหรับรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา ให้ค่อยๆเปลี่ยนเกียร์ลงมาเรื่อยๆจาก 5-4-3-2-1 จนรถหยุดได้สนิทที่ข้างทาง หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Sport ก็ให้ค่อยๆทอนเกียร์ลงมาเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ที่ไม่มีการเปลี่ยนแบบ Sport ให้ค่อยถอนลงมาเป็น 3 แล้วใช้เบรกมือช่วย โดยค่อยๆดึงช้าๆถ้ารู้สึกรถลดความเร็วเณ้วเกินไป ให้ถอนเบรกมือออก แล้วค่อยดึงใหม่ จนกว่าจะพารถเข้าจอดสนิทที่ข้างทางได้

3. คันเร่งค้าง

อาการคันเร่งค้างอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน ทั้งลิ้นปีกผีเสื้อติด หรือคันเร่งทำงานผิดปกติ แต่เมื่อเกิดอาการคันเร่งค้างเมื่อไหร่ สิ่งแรกที่ห้ามทำเด็ดขาดคือ “ดับเครื่อง” เพราะการดับเครื่องจะทำให้หม้อลมเบรกหยุดทำงานไปด้วย จะทำให้การหยุดรถทำได้ยากขึ้น แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือการหยุดส่งกำลังไปที่ล้อด้วยการเปลี่ยนเข้าเกียร์ว่างทันที เมื่อเปลี่ยนเข้าเกียร์ว่างได้แล้ว รถก็จะลดความเร็วลงเอง จากนั้นก็ค่อยๆเบรกแล้วประคองเข้าข้างทาง และ “ห้าม” ให้รถต่อในทันที จนกว่าจะหาสาเหตุเสียได้ ดังนั้นให้เรียกรถยกเพื่อเข้าอู่ทันที

cr. http://www.autodeft.com/deftanswer/how-to-do-when-face-with-mulfunction-car

7 ออพชั่นโดนๆ ที่คุณซื้อได้ในราคาถูกๆ

พูดถึงรถยนต์ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่ารถยนต์ที่เราใช้ ต่างมาพร้อมออพชั่นต่างๆมามกายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะของเล่นใม่ที่ทำเอาเราอยากได้ แต่ส่วนใหญ่มันอาจจะอยู่ในรถหรูราคาแพง แต่วันนี้ คุณสามารถหาซื้อได้ในรถยนต์ใกล้ตัวมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก

1.Sunroof ที่ถูกที่สุด

ออพชั่นสุดเท่ห์สำหรับสายสปอร์ตตัวจริง ที่หลายคนบางคนอาจจะต้องได้ดูดีมีติดรถเอาไว้ ถ้าคุณกำลังมองหาหลังคาที่สามารถเลื่อนเปิด หรือ ปิดได้   MG 3 มีเจ้าหลังคานี้มาให้ โดยติดตั้งมาตั้งแต่รุ่น X Sunroof   ราคาเคาะขายอยู่ที่   559,000 บาท

2.ระบบป้องกันการชนทางด้านหน้า ที่ถูกที่สุด

ทุกวันนี้ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่หลายคนเริ่มมีความตระหนักอย่างมากในการเดินทางและระบบความปลอดภัยชนิดที่ทำงานร่วมในการขับขี่ ล้วนมีความสำคัญมากกว่าบรรดาพวกถุงลมนิรภัยเสียอีก และ Mitsubishi Mirage  เป็นรถที่ระบบป้องกันการชนทางด้านหน้ามาให้ในรถยนต์นั่งขนาดเล็กกลุ่มอีโค่คาร์ โดยติดตั้งมาตั้งแต่รถยนต์   Mitsubishi  GLS CVT  มีราคาจำหน่ายอยู่ที่   539,000 บาท

3.ระบบกล้องรอบคันถูกที่สุด

เปิดตัวมาหมาดๆ พร้อมเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบกล้องมองรอบทิศทาง 360   องศา ที่มีมาให้ในรถยนต์อีโค่คาร์คันล่าสุด  Nissan  Note  นับเป็นออพชั่นที่ทำให้เรารุ้สึกว่านี่แหละที่ต้องการ มันเป็นออพชั่นที่ขนมาจากรถยนต์ชั่นนำ   Nissan Teana   ใหม่

โดยนอกจากนี้ยังมีระบบเตือนรักษาเลน และป้องกันการชนทางด้านหน้า พร้อมการเบรกอัตโนมัติมาให้ สนนราคา   Nissan  Note   ที่ออพชั่นนี้เคาะราคา   640,000 บาท  นับว่าไม่แพงเลยกับตัวเลือกที่มีมากให้

4.เก๋งดีเซลถูกที่สุด

กลายเป็นรถยนต์ที่ขายได้ดีโดดๆ ในตลาด ด้วยสิทธิจากโครงการอีโค่คาร์ระยะที่  2  ทำให้   Mazda  2 ใหม่ เป็นรภยนต์นั่งขนาดเล็กที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกเล็กรุ่นใหม่ ล่าสุดในตลาด และนับว่าเป็นรถเก๋งดีเซลที่มีราคาถูกที่สุดในเวลานี้ โดยรุ่นเริ่มมาพร้อมเครื่องยนต์  Mazda Sky Activ D  ขนาด  1.5   ลิตร เคาะราคาเริ่มต้นที่ 680,000   บาท

5.ไฟหน้า   LED  ถูกที่สุด

ยุคนนี้สมัยนี้ ไฟหน้าซีนอนรึ ล้าสมัยไปแล้ว .. มันต้องไฟหน้า   LED   ซึ่งปกติแล้วจะมีในรถยนต์นั่งสุดหรูชั้นนำเท่านั้น แต่ถ้าคุณชอบไฟหน้าที่ส่องสว่างไม่แยงตาชาวบ้านให้ด่าตามหลัง คุณสามารถหาซื้อรถที่มาพร้อมไฟหน้า  LED  ได้ ในราคาที่ถูกที่สุดในรถยนต์  Honda  City  เคาะขายในราคา  751,000 บาท  ในรุ่น   SV+  โดยนอกจากซิตี้แล้ว ในกลุ่มเดียวกัน ยังมีในรถยนต์   Mazda 2  รุ่นใหม่ ด้วย แต่ราคานั้นแพงกว่าน่ะ

6.ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ราคาถูกที่สุด

ถ้าคุณเป็นโลกขี้เกียจในการถอยจอด หรือคิดว่า ตัวเองยังไม่มือโปรพอ ระบบช่วยจอกสมัยนี้บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่คุณน่าจะอยากได้มากๆ และ ข่าวดีคือระบบสุดล้ำแบบนี้สมัยนี้ราคาไม่แพงอย่างที่คิด มันมีติดตั้งในรถยนต์  Ford Focus   ใหม่ ที่สำคัญในเวอร์ชั่นที่อยู่ในฟอร์ดโฟกัส สามารถจะถอยเข้าซองจองได้ด้วย มันคุมพวงมาลัยให้ แต่คุณยังต้องคุณตำแหน่งเกียร์และคันเร่ง กับเบรกอยู่ เหมือนเดิม สนนราคาตอนนี้ที่   999,000 บาท

7.  200 แรงม้าที่ถูกที่สุด …

ถ้าคุณเป็นพวกบ้าพลัง คำว่า  200 แรงม้า น่าจะมีความร้สึกกับคุณพอสมควรว่า จะซื้อรถทั้งที่ต้องเอาให้ได้ของแรง และที่เราอยากจะบอกคือ รถที่มาพร้อมกำลัง  200  แรงม้า ในวันนี้ราคาไม่แพงอย่างที่คิด

มันอาจจะโดนค่อนขอดเรื่องแบรนด์ แต่เรื่องความเร้าใจจาก  200   แรงม้า  MG GS   ไม่ตกเป็นสองรองใครอย่างแน่นอน แถมมันเป็นรถที่ให้ความสนุกตื่นเต้นเร้าใจในการขับขี่ตอบสนองความเร้าใจทุกรอบเร่ง ด้วยราคาเพียง  1.21  ล้านบาท พร้อมเรือนร่างรถอเนกประสงค์ ที่คุณจะสามารถหลบสายตาภรรยาที่บ้านได้

cr. http://www.autodeft.com/buyingguide/5-cheapest-option

รวม 12 รุ่นรถยนต์ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เดือนตุลาคม 2559

รวม 12 รุ่นรถยนต์ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์เดือนตุลาคม 2559

     รวมรถยนต์ 12 รุ่นแบรนด์ดังจัดโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ประจำเดือนตุลาคม 2559 ใครสนใจรีบไปจองกันได้เลย

Mazda3

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1

Ford EcoSport

ดอกเบี้ย (ดาวน์ 20% ผ่อนนาน 24 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1
เติมน้ำมันฟรี 10,000 บาท
รับเพิ่มส่วนลด 20,000 บาทสำหรับข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ

Nissan Sylphy

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 30% ผ่อนนาน 24-48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี

Nissan Teana

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 24-48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี

Nissan Almera

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 30% ผ่อนนาน 24-48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี

Nissan March

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 15% ผ่อนนาน 24-48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี

Nissan Juke

ดอกเบี้ย 0% (ดาวน์ 15% ผ่อนนาน 24-48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection 1 ปี

Suzuki Celerio (ยกเว้น GA/MT)

ดอกเบี้ย 0% (นาน 1 ปี เมื่อดาวน์ 30% ผ่อนนาน 48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1

Suzuki Swift

ดอกเบี้ย 0% (นาน 1 ปี เมื่อดาวน์ 30% ผ่อนนาน 48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1

Suzuki Ciaz

ดอกเบี้ย 0% (นาน 3 ปี)

Suzuki Ertiga

ดอกเบี้ย 0% (นาน 1 ปี เมื่อดาวน์ 30% ผ่อนนาน 48 เดือน)
ฟรีประกันภัยชั้น 1

MG GS

ผ่อนดาวน์ 0% นาน 6 เดือน
ฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. นาน 1 ปี
ฟรีกล้องบันทึกการขับขี่แท้จาก MG

Bosch เผยโฉมใบปัดน้ำฝน ‘ไร้โครง’ ใหม่ สำหรับรถเอเชีย

บ๊อช ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยียานยนต์และศูนย์บริการรถยนต์ชั้นนำของโลก ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนาเทคโนโลยีใบปัดน้ำฝนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดตัวนวัตกรรมใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครง ถูกออกแบบมาแบบไร้หูยึดโลหะช่วยกระจายน้ำหนักแรงกดที่เท่ากันทั่วใบปัด ทำให้ปัดสะอาดไม่มีเสียงรบกวน และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าใบปัดแบบเก่า

นางสาวหวัง หยู่เฟิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายอะไหล่รถยนต์ บริษัท บ๊อช ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกเผยว่า “ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา บ๊อช เป็นผู้ผลิตรายแรกที่นำใบปัดน้ำฝนแบบใบปัดแบบไร้โครง  (Flat-Blade Wiper) เข้ามาในตลาด โดยปัจจุบันคาดว่าร้อยละ 90 ของผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเลือกใช้ ส่วนในประเทศญี่ปุ่นเองเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีใบปัดแบบไร้โครง เราคิดว่าเทรนด์การใช้งานนี้จะเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนเร็วๆ นี้”

บ๊อช ได้ต่อยอดเทคโนโลยีใบปัดแบบไร้โครง (Flat-Blade Wiper) โดยการนำยางสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้ขับขี่สามารถสังเกตุถึงความทนทานที่เพิ่มมากขึ้น การออกแบบที่โฉบเฉี่ยวทำให้มีเสียงลมน้อยที่สุด มีประสิทธิภาพในการปัดทำความสะอาดที่ดีเยี่ยม ทำความสะอาดได้อย่างสม่ำเสมอและทั่วถึงทุกสภาวะอากาศ ไม่มีโครงเหล็ก ทำให้การปัดน้ำฝนมีประสิทธิภาพ ไม่มีเสียงรบกวน และมีความปลอดภัยเมื่อใช้ความเร็วสูง

“วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมีความสำคัญต่อการขับขี่ที่ปลอดภัย มากกว่าร้อยละ 70 ของอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดจากการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน ซึ่งเกิดจากการใช้ใบปัดน้ำฝนที่ไม่มีคุณภาพ” นางสาวหวัง หยู่เฟิ่งกล่าว “นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามของใบปัดน้ำฝนบ๊อช ยังมีประสิทธิภาพในการปัดทำความสะอาดที่ดีในทุกสภาพอากาศ ติดตั้งง่ายดาย”

ยางสังเคราะห์ที่ออกแบบพิเศษของใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงของบ๊อช แข็งแรงทนทานต่อแสงแดดแม้ว่าจะมีการปัดใช้งานมากกว่า 20,000 รอบ ก็ยังคงเหมือนเพิ่งติดตั้งใช้งานใหม่อยู่เสมอ

ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครง (Flat-Blade Wiper) ของ บ๊อช มีวางจำหน่ายออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ลาซาด้าในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเชีย สิงคโปร ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย และมีจำหน่ายในร้านอะไหล่ตัวแทนของบ๊อชทั่วทั้งเอเชีย

“เมดอินบ๊อช” มาตรฐานคุณภาพการผลิตเดียวกันทั่วโลก โรงงานผลิตอะไหล่ทดแทนของบ๊อชในเมืองฉางชา มีมาตรฐานการผลิตรวมถึงเครื่องจักรกลต่าง ๆ ครบทุกอย่างถอดแบบมาจากโรงงานผลิตใบปัดน้ำฝนของบ๊อชที่ตั้งอยู่ในเมืองเทียเนน ประเทศเบลเยี่ยม “เรามุ่งมั่นในการผลิตอะไหล่ที่มีคุณภาพที่โรงงานบ๊อชฉางชา โดยทีมออกแบบที่แข็งแกร่งของเรา ผนวกกับคุณภาพในการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพที่เข้มงวดในระดับสูงสุดของเรา เป็นสิ่งที่เรายึดมั่นมาโดยตลอดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ และ เชื่อมั่น จากลูกค้าของเรา” ดร.นอร์แมน โรธท์ ประธานภูมิภาค บ๊อชอิเลคทริคัลไดรฟ์ เอเชียแปซิฟิค กล่าว

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา บ๊อช ได้ทุ่มงบประมาณในการศึกษาวิจัยและพัฒนามากถึง 70 ล้านหยวน (ประมาณ 350 ล้านบาท) ในโรงงานของ บ๊อช ฉางชา แห่งนี้ โดยมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation technology) มีพื้นที่ทั้งหมด 82,000 ตารางเมตร โดยได้แบ่งพื้นที่ 2,400 ตารางเมตร สำหรับใช้เป็นห้องแล็บสำหรับทำการศึกษาวิจัยและพัฒนา โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4,640 คน ประจำอยู่ที่นี่ ประกอบด้วยทีมงานทดสอบประสิทธิภาพ ทีมงานศึกษาและพัฒนานวัตกรรม โรงงานบ๊อช ฉางชา ถูกออกแบบให้เหมือนกับโรงงานผลิตของบ๊อชที่ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยี่ยมทุกอย่าง

โครงการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยของบ๊อช ในชื่อ “เลือกอะไหล่ผิดเพียงชิ้นเดียว ก็ทำทุกอย่างพังได้” ฝ่ายอะไหล่ทดแทนของบ๊อช ได้เปิดตัวแคมเปญนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อรณรงค์ให้เกิดการขับขี่ปลอดภัย โดยการใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพเชื่อถือได้กับยานพาหนะในเอเชีย กลุ่มเป้าหมายของการรณรงค์ในครั้งนี้ได้แก่ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะเป็นประจำ โดยจะชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการไม่คำนึงถึงความสำคัญ ของคุณภาพอะไหล่รถยนต์

นางสาวหวัง หยู่เฟิ้ง ให้ความเห็นกับโครงการว่า “บ๊อช มุ่งให้ผู้ขับขี่ยวดยานตระหนักถึงการเลือกใช้อะไหล่ หากเลือกอะไหล่ใช้งานผิดเพียงแค่ชิ้นเดียว ก็จะทำให้เกิดความเสียหายมากมายตามมา ดังนั้นผู้ขับขี่ทุกคนจึงควรเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรืออะไหล่ทดแทน มิใช่คำนึงถึงราคาเพียงอย่างเดียว เจ้าของรถยนต์และช่างเครื่องยนต์สามารถไว้วางใจบ๊อชได้ และการตัดสินใจเลือกบ๊อชเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อประสิทธิภาพการทำงานของรถยนต์และความปลอดภัยในการขับขี่

      สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคในการเลือกที่ถูกต้อง #GetitRight สามารถติดตามได้ที่ www.startwithbosch.com

IIHS เผยคลิป Nissan Almera ทดสอบชนกับรถสมัย 20 ปีที่แล้ว

สถาบันทดสอบความปลอดภัยการชนแห่งสหรัฐฯ หรือ IIHS เผยคลิปทดสอบการชนระหว่างรถ Nissan Versa/Almera และ Nissan Tsuru เผยให้เห็นความแตกต่างของเทคโนโลยีความปลอดภัยรถใหม่เมื่อเทียบกับ 20 ปีที่แล้ว

Nissan Tsuru เป็นรถซีดานที่วางจำหน่ายในตลาดละตินอเมริกา ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับ Nissan Sentra รหัสตัวถัง B13 ที่เคยวางจำหน่ายในบ้านเราเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่ยังคงทำตลาดอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันภายใต้ชื่อ Tsuru มีจุดเด่นที่ราคาถูก ซื้อหาได้ง่าย

อย่างไรก็ดี Nissan Tsuru กำลังจะถูกปลดออกจากตลาดในเร็ววันนี้ เนื่องจากไม่ผ่านข้อกำหนดความปลอดภัยในประเทศเม็กซิโกที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2019 เป็นต้นไป สาเหตุมาจากรถคันนี้ไม่มีโครงสร้างรับแรงกระแทกที่ดีพอ รวมถึงไม่มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่างเบรกเอบีเอส และถุงลมนิรภัย

คลิปดังกล่าวได้นำเอา Nissan Versa (หรือ Almera ในบ้านเรา) มาทดสอบการชนกับ Nissan Tsuru ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ Versa/Almera จะเป็นรถรุ่นเล็ก แต่ก็ถูกพัฒนาระบบความปลอดภัยให้ดีขึ้นกว่าสมัย 20 กว่าปีที่แล้วอย่างชัดเจน ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ Tsuru นั้นเรียกได้ว่าผู้ขับขี่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย ขณะที่ Versa ถูกออกแบบโครงสร้างรองรับการกระแทก และมีถุงลมนิรภัยช่วยปกป้องผู้โดยสารได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

จากคลิปดังกล่าวก็พอสรุปได้ว่า แม้ว่าเหล็กที่ขึ้นรูปสำหรับตัวถังจะมีความแข็งแรงแค่ไหน แต่หากเป็นการชนอย่างรุนแรง สิ่งสำคัญกว่าคือโครงสร้างภายในจะต้องออกแบบรับแรงกระแทกเพื่อปกป้องผู้โดยสารได้ดีที่สุด

     ทางที่ดีควรเริ่มต้นด้วยความไม่ประมาทจะดีที่สุด

check-credit