เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด

ในเมื่อเราพูดถึงระบบเบรคของรถยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ กันไปแล้ว อีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญและต้องหมั่นดูแลอยู่เป็นพิเศษอีกหนึ่งชิ้นนั่นก็คือ ผ้าเบรค ที่จะต้องเปลี่ยนอยู่เป็นประจำตลอดอายุการใช้งานของตัวรถ ซึ่งในวันนี้เราก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับสิ่งนี้กันผ่าน บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ ที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรที่จะต้องมีความรู้ติดตัวกันเอาไว้บ้าง อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรคในตอนไหน แบบไหนปลอดภัยแบบไหนอันตราย เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัย กับทั้งท่านและผู้ร่วมเดินทาง หรือ แม้กระทั่งผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ๆ ด้วย

ผ้าเบรคคืออะไร 

ผ้าเบรคคือ ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยสร้างแรงเสียดทานให้ระบบเบรค คือชิ้นส่วนสำคัญที่ระบบเบรคในทุกรูปแบบจะขาดไปไม่ได้ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกดหรือจับตัวจานดิสก์เบรคที่ติดอยู่กับล้อในขณะที่เราเหยียบเบรค ตัวแม่ปั้มจะคอยดันผ้าเบรคให้มาสัมผัสกับจานที่ยึดติดกับล้อรถเพื่อช่วยชะลอหรือหยุดรถ จนเกิดการทำงานของระบบเบรคนั่นเอง โดยตัวผ้าเบรคนั้นจะทำมาจากวัสดุที่มีเนื้อหยาบกร้านทนทานต่อความร้อน เช่น เส้นใยสังเคราะห์ หรือ เส้นใยเหล็ก และ อีกมากมายหลายชนิด ที่วางจำหน่ายอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็รวมไปถึงอายุการใช้งานด้วยเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผ้าเบรคแบบไหนจะเหมาะกับรถของเรา แล้วจากยี่ห้อไหนดีที่สุดกัน ซึ่งถ้าถามว่าดีที่สุดไหมเราก็คงจะตอบไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็มีข้อดีและจุดที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งก่อนจะไปดูว่าผ้าเบรคมียี่ห้ออะไรบ้างเราไปรู้จักกับ ผ้าเบรคทั้ง4 รูปแบบกันก่อนดีกว่า

ผ้าเบรคมีทั้งหมด 4 รูปแบบ

1.ผ้าเบรคออร์แกนิก คือ ผ้าเบรคที่จะผลิตด้วยใยแก้ว , ยาง และ ไฟเบอร์ โดยจะไม่ใช้ส่วนผสมของโลหะอยู่เลย ซึ่งข้อดีของผ้าเบรคชนิดนี้ คือการที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะจะช่วยทำให้เวลาที่ใช้เบรคจะมีความนุ่มเงียบมากเป็นพิเศษโดยจะไม่มีเสียงดังและยังช่วยถนอมจานเบรคได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นก็จะมีอายุการใช้งานที่สั้น และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง

2.ผ้าเบรคเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ทำจากโลหะร้อน โดยจะออกแบบมาให้สามารถทนทานต่อความร้อนได้สูงมาก ๆ และ ตัวผ้าเบรคมีอายุการใช้งานที่มากกว่าผ้าเบรครุ่นอื่น ๆ หรือ จะเรียกว่าเป็นผ้าเบรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้ แต่ข้อเสียหลัก ๆ ก็คือด้วยความที่ตัวผ้าเบรคนั้นเป็นเหล็กก็อาจจะทำให้จานเบรคสึกหรอได้เร็วก่อนเวลาอันควร รวมถึงเวลาเบรคก็จะมีเสียงที่ดังกวนใจอยู่บ่อยครั้ง และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง

3.ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ผสมระหว่างโลหะกับใยสังเคราห์ โดยจะใช้ส่วนผสมของโลหะในอัตราส่วนที่มากกว่า เป็นผ้าเบรคอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน เพราะค่อนข้างอเนกประสงค์ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รองรับการใช้งานได้หลากหลายสามารถเบรคบนความเร็วสูงได้ดี เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว แต่ข้อเสียก็จะไม่ค่อยเหมาะกับรถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักเยอะ หรือ ตัวรถที่มีน้ำหนักตัวถังมาก

4.ผ้าเบรคเซรามิก คือผ้าเบรคสมรรถนะสูงที่ทำมาจากเซรามิกผสมกับทองแดง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดกว่าผ้าเบรคทุกรูปแบบ ที่ให้ทั้งความนุ่มเงียบในเวลาใช้งานและจะไม่มีเขม่าดำออกมาในเวลาที่เบรกในความเร็วสูง ส่วนข้อเสียของผ้าเบรคชนิดนี้ก็จะเป็นในเรื่องความร้อนที่ตัวผ้าเบรคนั้นจะไม่ดูดซับความร้อนทำให้ความร้อนจะไปอยู่ที่จานเบรคแทน และ ผ้าเบรคชนิดนนี้ก็จะมาพร้อมกับราคาที่สูงมาก ๆ

    ผ้าเบรคควรเปลี่ยนตอนไห

    สำหรับระยะทำงานของผ้าเบรคแต่ละชนิดก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ผลิตของแต่ละแบรนด์ก็จะมีระยะเวลาที่การันตีมาให้ อยู่ที่ 40,000-100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ชนิดของผ้าเบรคที่เลือกใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้อมูลที่จะสามารถเชื่อและไว้ใจได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ เพราะแน่นอนว่ารถยนต์แต่ละคันนั้น มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดของเครื่องยนต์ , ขนาดของตัวรถ ซึ่งนั่นก็ยังไม่รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน ที่บางคนก็ขับช้าบางคนก็ขับเร็ว หรือ แม้กระทั่งสถานที่ภูมิประเทศที่ใช้งานด้วยว่าต้องขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำรึป่าว ซึ่งแน่นอนถ้ายิ่งใช้งานหนักก็จะยิ่งทำให้ผ้าเบรคนั้นหมดไว้ขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเราควรเปลี่ยนผ้าเบรคได้แล้วนอกจากระยะทางในการใช้งาน คือความหนาของปริมาณผ้าเบรค ซึ่งเราสามารถเช็คดูได้ก่อนจะเปลี่ยนว่าตัวผ้าเบรคนั้นมีความหนาในระดับไหน ซึ่งข้อสังเกตุง่าย ๆ เลยถ้าผ้าเบรคที่พึ่งจะแกะกล่องออกมานั้นจะมีความหนาอยู่ที่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งถ้าหากความหนาของผ้าเบรคลดลงมาเหลือ 5 มิลลิเมตร นั่นก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ควรเปลี่ยนได้แล้ว และ ถ้าหากพบว่ามีความหนาต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร คือช่วงเวลาที่ไม่ควรใช้รถอย่างยิ่ง และ ต้องรีบเปลี่ยนด้วยด่วน

    ผ้าเบรคยี่ห้อไหนดีที่สุด 

    1. Compact Brake ผ้าเบรคคอมแพคท์ คืออีกหนึ่งแบรนด์ผ้าเบรคระดับโลกที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็เลือกใช้ โดยจะมีผ้าเบรคคุณภาพมาให้เลือกมากมายหลายรูปแบบดังนี้
    • Compact Primo คือ ผ้าเบรคที่ใช้สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง สามารถรองรับความเร็วปกติได้ดี
    • Compact Nano X คือผ้าเบรคสำหรับรถสปอร์ต หรือ รถยนต์ที่มีพละกำลังสูง เพราะจะให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่สูง ช่วยให้ระยะเบรคสั้น ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และ สัมผัสที่นุ่มเงียบ
    • Compact Duramax คือผ้าเบรคสำหรับรถกระบะหรือรถบรรทุก ที่ใช้ขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำ เพราะจะเป็นผ้าเบรคที่ทนทานต่อความร้อนได้สูง สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน

    2. Bendix คือ อีกหนึ่งยี่ห้อผ้าเบรคที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยจะมีผ้าเบรคให้เลือกมากถึง 5 รุ่น ได้แก่ 

    • General CT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง และ ใช้ความเร็วอยู่บ้างในบางเวลา
    • Heavy Duty เหมาะกับรถที่ต้องบรรทุกของหนัก หรือ รถตู้ 
    • Metal King Titanium คือผ้าเบรคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตที่ใช้ความเร็วสูงและใช้เบรคอย่างรวดเร็ว
    • 4WD SUV คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ยกสูงสายลุยแบบ Off-Road สามารถลุยน้ำลุยโคลนได้เต็มที่
    • Premium คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดพรีเมี่ยม ที่รองรับความเร็วสูงได้ดี มีระยะเบรคที่สั้น ทนทานต่อความร้อน

    3. Nexzter ผู้ผลิตผ้าเบรคยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

    • Next Spec คือผ้าเบรครุ่นเริ่มต้น สำหรับรถยนต์ทั่วไป
    • MU Spec คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์กึ่งสปอร์ตที่สามารถรองรับความเร็วสูงได้ในระดับหนึ่ง
    • Pro Spec คือผ้าเบรดเกรดรถสปอร์ตสมรรถนะสูง 
    • Race Spec คือผ้าเบรคเซรามิคเกรดสำหรับรถแข่ง

    4. TRW แบรนด์ผ้าเบรคชื่อดังจากเยอรมนี ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้

    • COTEC เหมาะกับรถยนต์ยุโรปทั่วไป
    • DETEC เหมาะกับรถเก๋งญี่ปุ่นทั่วไป
    • UTEC เหมาะกับรถกระบะหรือรถบรรทุก
    • ATEC คือผ้าเบรคอเนกประสงค์ที่ใช้ได้ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ

    5. Akebono แบรนด์ผ้าเบรคสัญชาติญี่ปุ่น สุดโด่งดังที่ผลิตผ้าเบรคให้กับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำทั่วโลกมาแล้วมากมาย โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น 

    • PRO-ACT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไป

    ผ้าเบรกที่ได้รับการออกแบบให้ลดเสียงดังรบกวนและการสั่นสะเทือน เพื่อให้คุณภาพการเบรกที่นุ่ม เงียบ มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาว เหมาะกับการใช้งานทั่วไป

    • Euro คือผ้าเบรคเซรามิคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตจากยุโรป
    • Performance คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดรถแข่ง โดยจะเหมาะกับรถสปอร์ตและรถยนต์ที่ได้รับการ Modify ทุกรุ่น 

    6. Brembo คือ ผู้ผลิตเบรคอันดับหนึ่งของโลกซึ่งแน่นอนถ้าไม่ใส่เข้ามาด้วยก็คงไม่สมบูรณ์ ซึ่งผ้าเบรคของ Brembo ก็จะมีเพียงรุ่น Brembo Xtra ที่ผลิตมาจากส่วนผสมมากกว่า 30 ชนิด ที่จะช่วยให้ระบบเบรคของคุณมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเลย แต่ก็ต้องแลกมากับราคาที่แพงมาก ๆ ด้วยเช่นกัน 

    สรุป

    สำหรับผ้าเบรค ก็เรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแล และ ต้องเลือกใช้ให้ตรงรุ่นตรงคุณสมบัติของรถคุณด้วยเช่นกัน แถมยังเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแลรักษาอยู่ตลอด เพราะถ้าหากเสื่อมสภพหรือเสียหายไปนั่นก็หมายถึงชีวิตได้เลย และ ก่อนจากกันในครั้งนี้ เราหวังว่า บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ จะมอบประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้ทุกท่านนะครับ ส่วนในครั้งหน้าจะเป็นบทความเรื่องอะไรนั้น โปรดติดตามกันด้วยนะครับ

    แหล่งอ้างอิง

    https://mywonderwheel.com/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%96cat/%e0%b8%9c%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88/

    แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี ?

    หากพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์จะใช้ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จึงเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่สำคัญมากๆใช้จ่ายกระแสไฟตั้งแต่ในการสตาร์ทเครื่องยนต์จนไปถึงควบคุมระบบและอุปกรณ์ต่างๆของรถ ซึ่งเชื่อว่าผู้ใช้งานหลายท่านก็ต่างสงสัยกันว่า แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร รวมถึงสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ของเราเสื่อมสภาพได้ ในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวิธีใช้งานแบตเตอรี่ให้มีระยะเวลาตามอายุการใช้งานมากที่สุดกันครับ

    แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี ?

    แบตเตอรี่รถยนต์ของเราหากจะให้ระบุชัดเจนว่ามีอายุการใช้งานกี่ปีจะเป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะต้องดูจากปัจจัยหลายๆอย่างตั้งแต่เรื่องของการใช้งานและสภาพอากาศในระหว่างเวลาที่ใช้และเวลาที่จอด รวมถึงเกรดคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้งานด้วย โดยปกติจะมีอายุการใช้งานถ้าน้อยที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากดูแลรักษาอย่างดีไม่เสื่อมสภาพก็จะมีอายุการใช้งานได้มากที่สุด 5 ปี เพราะฉะนั้นควรจะเปลี่ยนในช่วงประมาณ 3-4 ปี น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

    สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ

    • สภาพอากาศและอุณหภูมิ หากเจออุณหภูมิที่หนาวจัดและร้อนจัด จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพได้ ยิ่งถ้าจอดในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลานานจะทำให้การกักเก็บกระแสไฟทำงานได้ไม่ดีเหมือนสภาพอุณหภูมิปกติ สังเกตได้จากการที่ผู้ใช้งานที่มีรถจอดนานๆแบบไม่ได้ใช้มักจะจอดเก็บในที่ร่มอยู่เสมอ 
    • การต่อขั้วแบตเตอรี่ การต่อขั้วแบตหากต่อไม่ดีหรือต่อหลวมไปจะให้การจ่ายกระแสไฟและการชาร์จไฟทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร
    • ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หากไดร์ชาร์จไฟมีปัญหาก็จะทำให้การจ่ายกระแสไฟที่ต่ำกว่ากำหนดไปยังแบตเตอรี่หรือมีการรั่วไหลของกระแสไฟก่อนไปถึงตัวแบตเตอรี่ก็จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักโดยที่มีกระแสไฟส่งมาไม่พอเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้ หรือการที่ดัดแปลงให้จ่ายกระแสไฟมากกว่ากำหนดก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้เช่นกัน
    • การเปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งไว้ เชื่อว่าหลายท่านก็อาจจะเคยลืมเผลอเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าค้างไว้โดยที่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์นี่ก็จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเสื่อมหรือหมดได้เร็วมากขึ้นเพราะการที่ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยไม่ผ่านการสตาร์ทเครื่องยนต์จะเป็นการดึงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยตรงโดยที่ไม่มีการปั่นกระแสไฟจากเครื่องยนต์มาทดแทนพลังงานที่เสียไป

    อาการเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ

    • เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติด หากรถยนต์ของคุณใช้เวลาในการสตาร์ทเครื่องยนต์นานขึ้นจนกว่าจะติด เป็นสาเหตุจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่ไว้ไม่อยู่ทำให้จ่ายไฟได้น้อยลง และหากสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดเลยก็แสดงว่าแบตเตอรี่มีไฟไม่เพียงพอในการสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นข้อสังเกตที่จะเห็นได้อย่างแรกเพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์คือการใช้งานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มากที่สุด 
    • เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์มีกลิ่นผิดปกติ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้หรือกลิ่นผิดปกติเข้ามาในรถก็อาจจะเกิดจากแบตเตอรี่มีการรั่วไหลหรือชำรุดหากฝืนใช้งานต่อจะสร้างความเสียหายลุกลามไปยังชิ้นส่วนต่างๆได้ ให้รีบเปลี่ยนโดยทันที
    • ฟหน้าส่องสว่างน้อยลง หากในการขับรถในเวลากลางคืนแล้วมีความรู้สึกว่าแสงไฟหน้ารถยนต์ส่องสว่างได้ไม่เหมือนในครั้งก่อน ก็สามารถตั้งข้อสงสัยไปที่การทำงานของแบตเตอรี่ได้เลย
    • แบตเตอรี่ผิดปกติ แบตเตอรี่มีอาการร้อนกว่าปกติหรือเกิดการบวมมากกว่าเดิมนี่ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าแบตเตอรี่ของคุณกำลังเสื่อมสภาพ 
    • สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดหรือบนแบตเตอรี่ โดยรถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตมักจะใส่ตาแมวเป็นสัญลักษณ์บอกประสิทธิภาพของแบตเตอรี่มาให้ด้วย หรือ สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดหรือเริ่มที่จะส่งไฟไม่เพียงพอจะขึ้นรูปแบตเตอรี่สีแดงมาปรากฏกวนใจอยู่บนจอมาตรวัด

    หากแบตเตอรี่รถยนต์หมดควรทำอย่างไร

    หากแบตเตอรี่หมดให้หาสายพ่วงแบตที่เป็นอุปกรณ์ติดรถมาให้แล้วให้ขอพ่วงกับรถที่อยู่ระแวกใกล้เคียง ในการพ่วงแบตแต่ละครั้งต้องให้รถคันที่เราจะพ่วงสตาร์ทเครื่องยนต์ตลอดเวลา จากนั้นให้อ่านขั้วบวกขั้วลบให้ดีแล้วหนีบตัวหนีบเข้ากับขั้วแบตให้แน่นทั้ง 2 คัน โดยในสีแดงจะเป็นขั้วบวก + สีดำจะเป็นขั้วลบ – จากนั้นให้ทำการเร่งเครื่องรถยนต์เล็กน้อยเพื่อกระตุ้นไฟแล้วถึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง หากสตาร์ทติดแล้วให้เข้าร้านตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย หากสตาร์ทไม่ติดอาจเกิดจากขั้วแบตหลวมหรือเสียบสายพ่วงไม่แน่น หากแก้ไขแล้วยังไม่ติดอีกก็ให้โทรตามช่างเพื่อนำแบตมาเปลี่ยนโดยไม่ต้องเรียกรถสไลด์หรือรถรากไปที่ร้านแต่อย่างใด

    ไม่ว่าจะใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีเกรดดีแค่ไหนหากใช้งานอย่างไม่ถนอมก็สามารถเสื่อมสภาพได้เช่นกัน หากทุกท่านปฏิบัติตามและเลี่ยงพฤติกรรมที่เราได้มานำเสนอผ่านบทความ แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร เรื่องนี้ จะช่วยให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในรถยนต์ที่คุณใช้ไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาได้ครับ หากชอบและถูกใจบทความของเรายังมีบทความที่น่าสนใจอีกมากมายในเว็บไซด์นี้ โปรดเลือกรับชมได้เลยครับ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านได้อย่างมาก สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่

    แหล่งอ้างอิง

    https://mywonderwheel.com/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%96cat/%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%95%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b9%83/

    แอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ?

    แอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม จะมีอันตรายหรือไม่ ?

    เก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ถ้าภายในรถยนต์มีความร้อนสูง จะเกิดอันตรายอย่างติดไฟ ระเบิด หรือส่งผลเสียใดๆ หรือไม่

    ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยนั้น หากจอดรถยนต์ทิ้งไว้กลางแดดก็อาจทำให้ภายในรถเกิดความร้อนสูง ซึ่งการเก็บสิ่งของบางอย่างที่ไวไฟหรือไม่ทนทานต่อความร้อนไว้ในรถ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายอย่างไฟลุกหรือระเบิดได้ และในยุคโควิดที่คนส่วนใหญ่มักพกเจลหรือสเปรย์ล้างมือแอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลา ทำให้เกิดความกังวลกันว่าถ้าหากวางหรือเก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถ จะเกิดอันตรายอะไรหรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    เก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ?

    จริงอยู่ที่แอลกอฮอล์เป็นสารที่สามารถติดไฟได้หากมีการสัมผัสกับเปลวไฟหรือประกายไฟ แต่ในกรณีที่เจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ถูกบรรจุอยู่ในขวดและเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งไม่ได้มีการสัมผัสประกายไฟโดยตรง จะสามารถติดไฟด้วยตัวเองได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูงถึงประมาณ 370 องศาเซลเซียสเท่านั้น และอุณหภูมิภายในห้องโดยสารรถยนต์ที่จอดตากแดดก็ไม่มีทางที่จะมีความร้อนสูงถึงขนาดนั้น

    ส่วนใครที่ยังกังวลว่าแอลกอฮอล์ที่บรรจุอยู่ในกระป๋องสเปรย์จะมีโอกาสขยายตัวจนระเบิดเมื่อถูกความร้อนได้หรือไม่ ข้อนี้คงต้องบอกว่าสบายใจได้ เพราะว่าภายในกระป๋องสเปรย์แอลกอฮอล์จะไม่มีสารเคมีและแก๊สอยู่ภายใน ต่างจากกระป๋องสเปรย์อื่น ๆ จึงไม่เสี่ยงที่จะระเบิดเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูง

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการจุดไฟแช็กหรือสูบบุหรี่ในรถยนต์ ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์จะอยู่ในขวดหรือกระปุก แต่ถ้ามีไอระเหยจากแอลกอฮอล์ภายในห้องโดยสารแล้วมีการจุดไฟก็สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นมาได้นั่นเอง นอกจากนี้การที่แอลกอฮอล์โดนความร้อนจนระเหยรั่วออกมายังทำให้แอลกอฮอล์มีความเจือจางลง ซึ่งส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคลดลงอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ควรเก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถน่าจะดีที่สุด

    ทั้งนี้ ถ้าหากใครอยากรู้ว่ามีสิ่งของอะไรบ้างที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถยนต์ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : 8 สิ่งของที่ไม่ควรทิ้งไว้ในรถ เพราะอาจเกิดผลเสียหรืออันตรายได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : caranddriver.comsnopes.com

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view255863.html

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถทําไง ?

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถทําไง เมื่อรถล็อกมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

    ลืมกุญแจไว้ในรถ แล้วรถเกิดล็อกขึ้นมาเอง หรือมีเด็กอยู่ในรถเผลอไปกดล็อกประตูเข้า จะมีวิธีเปิดประตูหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง ?

    หลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์หลง ๆ ลืม ๆ สิ่งที่จะทำหรือสิ่งของต่าง ๆ กันมาบ้าง หากเป็นสิ่งของเล็ก ๆ หรือสิ่งที่จะทำไม่ได้มีความสำคัญมากก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ถ้าบังเอิญเป็นการลืมกุญแจรถไว้ในรถแล้วรถเกิดล็อกขึ้นมาอีก ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย

    แม้ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีโอกาสเกิดปัญหานี้ได้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นกุญแจรถยนต์แบบรีโมตที่แม้จะลืมวางไว้ในรถแล้วปิดประตู รถก็จะไม่สามารถล็อกได้ แต่ถ้าเป็นรถยนต์รุ่นเก่าที่มีการทำงานของระบบล็อกผสมผสานแบบ Manual และไฟฟ้า ปัญหาเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ และเราจะมีวิธีแก้ไขเพื่อให้สามารถเปิดประตูได้อย่างไรบ้างนั้น ไปหาคำตอบกัน

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถ รถล็อกได้อย่างไร ?

    หากเป็นในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นถือว่าน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะรถยนต์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้กุญแจรถแบบ Keyless หรือกุญแจรถยนต์อัจฉริยะ ซึ่งหากเราลืมกุญแจไว้ในรถหรือฝาท้ายรถจะไม่สามารถล็อกหรือปิดฝากระโปรงได้ เว้นแต่นำกุญแจออกมาจากตัวรถแล้ว

    แต่ถ้าเป็นในรถรุ่นเก่า รถบางรุ่นจะมีการตั้งระบบล็อกอัตโนมัติหากถึงเวลาที่กำหนด กับอีกกรณีคือการปล่อยเด็กเล็กไว้ในรถแล้วเผลอไปโดนปุ่มล็อกเข้าก็อาจเกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถ ทำไงดี ?

    หากลืมกุญแจไว้ในรถ และไม่สามารถเปิดล็อกประตูได้ อันดับแรกอย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือตกใจ ให้ตั้งสติและพยายามตรวจสอบประตูรถทั้ง 4 บาน รวมถึงฝากระโปรงท้าย ให้แน่ใจว่าไม่สามารถเปิดออกได้จริง และที่สำคัญสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าลืมกุญแจไว้ในรถจริง ๆ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นมีให้เลือกหลายทางขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสถานที่ที่เกิดเหตุขณะนั้น โดยเริ่มจากการแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ดังนี้

    • ใช้กุญแจสำรอง คือ กุญแจที่ได้รับมาตอนซื้อรถยนต์ทุกคัน เผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น กุญแจหลักชำรุด ส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้ที่บ้าน หากเราอยู่ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากบ้านมากนักให้กลับไปนำกุญแจสำรองมาไขจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด 
    • ติดต่อช่างกุญแจ อีกหนึ่งวิธีการสำหรับใครที่ไม่สามารถกลับไปเอากุญแจสำรองที่บ้านได้ ให้ติดต่อช่างทำกุญแจมาดำเนินการสะเดาะกุญแจรถให้ หรือรถบางรุ่นที่อยู่ในระยะเวลารับประกันก็อาจมีบริการพิเศษจากค่ายรถนั้น ๆ โดยสามารถติดต่อกับศูนย์บริการได้โดยตรง
    • โทร. ขอความช่วยเหลือ หากเกิดเหตุการณ์ลืมกุญแจรถไว้ในรถที่ห่างไกลจากบ้านจนไม่สามารถกลับไปเอากุญแจสำรองได้ และบริเวณนั้นไม่มีช่างกุญแจ ให้โทร. ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่กู้ภัย
    • ทุบกระจก เป็นทางเลือกในกรณีที่ต้องการเปิดรถอย่างเร่งด่วน เช่น มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงติดอยู่ภายในรถ โดยใช้หิน ค้อน หรือของแข็งที่หาได้ และเลือกทุบกระจกบานด้านข้างมากกว่าด้านหน้ารถ เพราะมีความแข็งแรงน้อยกว่า และพยายามเลือกบานที่อยู่ห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย

    อย่างไรก็ตาม แม้ในรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีโอกาสลืมกุญแจรถไว้ในรถแล้วรถล็อกจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นเราควรตั้งสติ ไม่ตื่นตระหนก ก็จะช่วยให้สามารถคิดหาทางแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ที่สำคัญทุกครั้งที่ลงจากรถควรพกกุญแจรถติดตัวไว้เสมอ ทั้งนี้ แม้เทคโนโลยีจะมีความทันสมัยมากเพียงใด เพื่อความปลอดภัยควรลองดึงประตูทุกครั้งหลังจากล็อกรถ เพราะบางทีเซ็นทรัลล็อกอาจมีปัญหาแบบไม่รู้ตัวก็ได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : brightside.merd.com

    แหล่งอ้างอิง :https://car.kapook.com/view250292.html

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น1

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 1 บริษัทไหนจ่ายเบี้ยเท่าไร คุ้มครองอะไรบ้าง

    กำลังจะทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แต่ไม่รู้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร เช็กเลย ! ราคาประกันรถยนต์ชั้น 1 ของแต่ละบริษัท ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยต่อปีกี่บาท  และได้รับความคุ้มครองอะไรบ้าง คุ้มกับเงินที่จ่ายหรือไม่

    ทุกวันนี้ใครที่ใช้รถยนต์ นอกจากประกันภัย พ.ร.บ. ที่บังคับให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำพร้อม ๆ กับการต่อภาษีแล้ว ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจก็เป็นการทำประกันอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนนิยมทำ โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพราะประกันภัยดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยภาคบังคับที่รับผิดชอบเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น

    แต่แน่นอนว่าการรับผิดชอบความเสียหายที่ครอบคลุมมากขึ้น ย่อมมากับค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งแต่ละบริษัทประกันก็มีเรตราคาที่แตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถ รุ่น ปีที่ผลิต หรือแม้แต่ประวัติการเคลมล้วนมีผลต่อเบี้ยประกันทั้งสิ้น

    ประกันภัยรถยนต์ คืออะไร

    ประกันภัยรถยนต์ คือการประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดจากการใช้รถยนต์ เช่น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ ความเสียหายที่รถยนต์ได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก รวมทั้งบุคคลที่โดยสารอยู่ในรถยนต์นั้น ซึ่งประกันภัยรถยนต์ที่มีในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

    • ประกันรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ทางภาครัฐบังคับให้เจ้าของรถยนต์ทุกคันต้องทำเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองตัวบุคคลที่ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกหากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ ทุกพลภาพ หรือเสียชีวิต 
    • ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ ประกันภัยที่ทำโดยความสมัครใจของเจ้าของรถ เป็นประกันภัยที่อยู่นอกเหนือประกันภัยภาคบังคับ สำหรับประกันภัยภาคสมัครใจนั้นจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่า ซึ่งจะคุ้มครองตัวบุคคลทั้งตัวผู้ขับขี่เอง ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก รวมไปถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ประกันภัยรถยนต์ มีกี่ประเภท

    ทั้งนี้ ประกันภัยรถยนต์แบบสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดนั่นก็คือ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ประกันภัยชนิดที่จะให้ความรับผิดชอบ ดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ผู้โดยสารและบุคคลภายนอก รับผิดชอบค่าเสียหายของทรัพย์สิน ค่าซ่อมรถยนนต์ทั้งของผู้เอาประกันภัย คู่กรณี ซึ่งความคุ้มครองนี้ไม่ได้คุ้มครองเฉพาะกรณีเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการเกิดเหตุแบบไม่มีคู่กรณีเช่นเดียวกัน

    วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคา เบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จากบริษัทประกันภัยต่าง ๆ มาให้ดูกัน ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันภัยรถยนต์บริษัทไหนดี มาเช็กราคาได้เลย

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 1

    1. วิริยะประกันภัย

    ภาพจาก : viriyah.com

    วิริยะประกันภัยดำเนินกิจการในเมืองไทยมากว่า 70 ปี มีศูนย์ซ่อมและอู่ในเครือกว่า 600 แห่ง นอกจากประกันภัยรถยนต์แล้ว วิริยะยังมีประกันภัยอื่น ๆ ได้แก่ ประกันภัยบ้าน ประกันภัยธุรกิจ และประกันภัยสุขภาพอีกด้วย

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของวิริยะประกันภัยจะแบ่งตามลักษณะประเภทของรถและสถานที่ในการเข้าซ่อม ส่วนการคุ้มครองนั้นจะครอบคลุมทั้งตัวผู้เอาประกันและบุคคลภายนอก เช่น ค่าความเสียหายต่าง ๆ ของรถยนต์ ความเสียหายต่อทรัพย์สิน 5,000,000 บาท/ครั้ง ค่ารักษาพยาบาล ชีวิต ร่างกาย 1,000,000 บาท/คน หรือ 10,000,000 บาท/ครั้ง นอกจากนี้ ยังรวมถึงกรณีรถสูญหาย น้ำท่วม หรือไฟไหม้ และหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท/ครั้ง ประกันภัยรถยนต์ของวิริยะนั้นจะให้ความคุ้มครองที่เหมือนกัน จะแตกต่างตรงที่ซ่อมอู่หรือซ่อมห้างเท่านั้น

    • รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู ซ่อมอู่ ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 13,000 บาท
    • รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู ซ่อมห้าง ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 15,000 บาท
    • รถกระบะ 2 ประตู ไม่เกิน 3 ตัน ซ่อมอู่ ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 16,500 บาท
    • รถกระบะ 2 ประตู ไม่เกิน 3 ตัน ซ่อมห้าง ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 20,000 บาท

    2. กรุงเทพประกันภัย

    ภาพจาก : bangkokinsurance.com

    บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมทั้งในเรื่องประกันรถยนต์ และประกันภัยด้านอื่น ๆ ที่มีให้เลือกหลายประเภทด้วยกัน อาทิ ประกันภัยการเดินทาง, ประกันภัยอุบัติเหตุ, ประกันภัยสำหรับทรัพย์สิน และประกันภัยอื่น ๆ

    สำหรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของกรุงเทพประกันภัยมีให้เลือกมากมายหลายแบบแผน ทั้งตามลักษณะของการใช้งานรถยนต์, ช่วงอายุของผู้ชับชี่ หรือรถที่มีอายุมากกว่า 6-12 ปี ก็สามารถทำประกันภัยชั้น 1 ได้ ส่วนการคุ้มครองนั้นจะครอบคลุมทั้งผู้เอาประกัน บุคคลภายนอก และทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ หรือภัยจากการก่อการร้ายก็ให้ความคุ้มครองเช่นกัน

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของกรุงเทพประกันภัยจะมีให้เลือกหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งจะมีข้อแตกต่างที่ราคาเบี้ยประกันและความคุ้มครองบางอย่างที่ไม่เหมือนกันเพียงเล็กน้อย ผู้ที่สนใจควรสอบถามรายละเอียด เงื่อนไขของประกันภัยชั้น 1 แต่ละแผนให้ดีก่อนตกลงทำประกัน

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภทเลือกทุนเองได้ ตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท ให้ความคุ้มครองทุกอุบัติเหตุ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ นํ้าท่วม มีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง พร้อมศูนย์ซ่อมมาตรฐาน (อู่ในเครือ) ให้เลือกหลากหลาย ราคาเบี้ยเริ่มต้น 11,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Motor by Region คิดเบี้ยประกันภัยตามภูมิภาคต่าง ๆ รับประกันรถที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี และเป็นรุ่นรถที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น สามารถเลือกศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมได้ ราคาเริ่มต้นต้องสอบถามกับตัวแทนประกันภัยเพราะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อยู่อาศัย และรุ่นรถของผู้เอาประกันภัย
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Motor Gen X ให้ความคุ้มครองแบบตรงใจสำหรับกลุ่มคนอายุ 35-45 ปี โดยไม่ต้องระบุผู้ขับขี่ สามารถเลือกศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมได้ มีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ราคาเบี้ยเริ่มต้น 12,780 บาท 
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Used Car Special รองรับสำหรับรถยนต์อายุ 6-12 ปี ได้รับทุนประกันภัยสูงสุดถึง 500,000 บาท ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีรถชน รถหาย ไฟไหม้ ทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี เข้าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมมาตรฐานกรุงเทพประกันภัย ราคาเบี้ยเริ่มต้น 15,480 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท คุ้มครอง-คุ้มค่า ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักรถ และมีประวัติการขับขี่ที่ดี เบี้ยประกันภัยราคาเบาๆ แต่จะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท/ครั้ง เมื่อเคลมแบบไม่มีคู่กรณีหรือเป็นฝ่ายผิด ราคาเบี้ยเริ่มต้น 8,100 บาท บาท

    หมายเหตุ : ราคาของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ในทุกกลุ่มจะมีการลดลงโดยขึ้นอยู่กับอายุของตัวรถ

    3. ไทยศรี ประกันภัย

    ภาพจาก : thaisri.com

    บริษัทประกันภัยที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 60 ปี มีศูนย์บริการ อู่ในเครือที่ได้มาตรฐาน และยังมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยอื่น ๆ นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ ได้แก่ ประกันภัยทรัพย์สิน, ประกันภัยอุบัติเหตุ, ประกันการเดินทาง, ประกันภัยทางทะเล, ประกันภัยเบ็ดเตล็ด และประกันภัยสุขภาพ

    สำหรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของไทยศรี ประกันภัย จะแบ่งออกเป็นตามแต่ละประเภทของรถ เช่น รถยนต์ รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนความคุ้มครองนั้นถือว่าครอบคลุมทั้งตัวผู้เอาประกันภัย บุคคลภายนอก และทรัพย์สิน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของไทยศรี ประกันภัย แบ่งออกเป็น ดังนี้

    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถเก๋ง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รวมถึงรถปิคอัพจดทะเบียนเป็นรถนั่งส่วนบุคคล ที่นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง โดยให้ความคุ้มครองตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยและรถคู่กรณี (ตามทุนประกันภัย) คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก สูงสุด 5,000,000 บาท คุ้มครองชีวิตร่างกาย อนามัย ของบุคคลภายนอก สูงสุด 10,000,000 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 300,000 บาท/คน พร้อมหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ สูงสุด 400,000 บาท/ครั้ง ราคาเบี้ยเริ่มต้น 11,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถกระบะ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยกรณีชน และรถยนต์สูญหาย /ไฟไหม้ รวมทั้งความคุ้มครองชีวิตร่างกาย อนามัยและทรัพย์สินบุคคลภายนอก นอกจากนี้ ยังมีความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก สูงสุด 1,000,000 บาท/ครั้ง คุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัย ของบุคคลภายนอก สูงสุด 10,000,000 บาท มีหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท/ครั้ง และค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 100,000 บาท/คน ราคาเบี้ยเริ่มต้น 14,000 บาท

    4. ธนชาตประกันภัย

    ภาพจาก : thanachart-insurance.co.th

    บริษัทประกันภัยที่ก่อตั้งมาเมื่อปี 2540 มีประกันภัยรถยนต์ให้เลือกหลากหลายแบบทั้งชั้น 1 ชั้น 2+ และชั้น 3+ นอกจากประกันภัยรถยนต์ก็ยังมีประกันภัยชนิดอื่น ๆ เช่น ประกันภัยอุบัติเหตุ และประกันภัยโรคมะเร็ง

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของธนชาตประกันภัยมีให้เลือก 2 แผนด้วยกัน ได้แก่ 

    • ประกันภัยรถยนต์ประเภท1 One Lite ประกันภัยชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองทุกภัย เหมาะสำหรับผู้ขับขี่มั่นใจ ขับรถปลอดภัย ไม่มีเคลม ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 Single Rate ประกันภัยชั้น 1 สำหรับผู้ขับขี่มือใหม่ ที่ต้องการความคุ้มเป็นพิเศษ มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 14,000 บาท

    5. ทิพยประกันภัย

    ภาพจาก : tipinsure.com

    ทิพยประกันภัย บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่มีอู่ซ่อมและศูนย์ในเครือทั่วประเทศ มีประกันภัยรถยนต์ให้เลือกหลากหลายแผนโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง Tip Lady ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่ต้องขับรถคนเดียว

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของทิพยประกันภัยมีให้เลือกหลายแผน โดยจะแบ่งตามลักษณะของการใช้งาน ได้แก่

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 TIP Premium ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะกับคนใช้รถเป็นประจำ ชอบเดินทางไกล หรือมือใหม่หัดขับ ราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 TIP Premium+ ประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองทุกกรณี พร้อมได้รับเงินชดเชยกรณีเข้าซ่อมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ราคาเริ่มต้นที่ 13,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 Tip Lady ประกันภัยสำหรับผู้หญิงที่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว ค่าศัลยกรรมจากอุบัติเหตุ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อเดินทางออกจากบ้านเกิน 100 กม. กรณีรถขัดข้องหรืออุบัติเหตุจนไม่สามารถขับต่อได้ ราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 Tip Rainbow ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองมากขึ้น เหมาะสำหรับทุกลักษณะการใช้รถ ขับมากขับน้อย ขับเร็วขับช้า มือเก่ามือใหม่ เพิ่มเติมค่าศัลยกรรมสูงสุด 2 ท่าน และ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ราคาเริ่มต้น 13,000 บาท 

    6. เมืองไทยประกันภัย

    ภาพจาก : muangthaiinsurance.com

    อีกหนึ่งบริษัทประกันภัยที่หลายคนน่าจะคุ้นหู ซึ่งนอกจากประกันภัยรถยนต์แล้วยังมีประกันภัยชนิดอื่น ๆ ได้แก่ ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันการเดินทาง ประกันอัคคีภัยและทรัพย์สิน

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของเมืองไทยประกันภัยมีให้เลือกทั้งแบบซ่อมห้าง ซ่อมอู่ และประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบพันธุ์แกร่ง เหมาะสำหรับรถ SUV และกระบะส่วนบุคคล ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ หรือรถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุ ภัยก่อการร้าย คุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก เพิ่มความคุ้มครองรับเงินชดเชยเมื่อต้องนำรถเข้าอู่กรณีรถชนรถและเป็นฝ่ายถูก และยังให้ความคุ้มครองทรัพย์สินภายในรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรมมีรอยงัดแงะ ราคาเบี้ยเริ่มต้น 15,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบ OK Type1 ประกันภัยรถยนต์แบบซ่อมอู่ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ หรือรถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุ ภัยก่อการร้าย คุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเบี้ยเริ่มต้น 13,500 บาท 
    • ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 สำหรับรถไฟฟ้า ที่ให้ความคุ้มครองต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลภายนอกสูงสุด 10,000,000 บาท รับผิดชอบต่อรถเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะ สูญหาย ไฟไหม้ ตามทุนประกัน พร้อมค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท/คน และยังมีความคุ้มครองหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 300,000 บาท/ครั้ง ครอบคลุมไปถึงภัยก่อการร้าย รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งราคาเบี้ยเริ่มต้น 25,999 บาท

    อย่างไรก็ตาม นอกจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เรานำมาให้ดูกันแล้วก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น LMG insurance, ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย, โตเกียวมารีน ประกันภัย และ MSIG ประกันภัย ใครที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ สามารถตรวจเช็กเบี้ยประกันหรือรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมกับบริษัทประกันภัยได้โดยตรง และควรศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดคุ้มครองต่าง ๆ ให้เรียบร้อยจะได้ไม่เสียประโยชน์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : thaisri.comtipinsure.comthanachart-insurance.co.th,
    bangkokinsurance.comviriyah.commuangthaiinsurance.commuangthaiinsurance.com

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view255323.html

    ขับรถชนของหลวงผิดแค่ไหน ?

    ขับรถชนของหลวง ต้องจ่ายค่าชดใช้เป็นเงินกี่บาท และประกันจะช่วยจ่ายหรือไม่ ?

    เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหากวันหนึ่งคุณดันขับรถแล้วไปชนกับสิ่งของข้างทางที่เป็นของหลวงเสียหายเข้า รู้หรือไม่ว่าต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่ ประกันจะจ่ายไหม ?

     อุบัติเหตุทางรถยนต์ อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากประมาท หรือพลาดพลั้ง นำมาซึ่งความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวหรือของผู้อื่น รวมถึงทรัพย์สินสาธารณะหรือที่เรียกว่า “ของหลวง” อาทิ เสาไฟฟ้า ต้นไม้ข้างทาง ป้ายจราจร ราวสะพาน และเสาสัญญาณไฟ เป็นต้น และนั่นคือที่มาของคำถามว่า ผู้ที่ขับขี่รถชนจะต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่ และประกันรถยนต์ที่ทำไว้จะรับผิดชอบหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    ขับรถชนของหลวง มีความผิดหรือไม่?

    เมื่อผู้ใช้รถเกิดประสบอุบัติเหตุขับรถชนจนทำให้ของหลวงเสียหาย ไม่ว่าจะเป็น เสาไฟฟ้า หรือป้ายจราจร จะมีหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลของหลวงในส่วนนั้น ๆ อาทิ เสาไฟฟ้า อยู่ในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรการไฟฟ้า หรือป้ายจราจร จะอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง ซึ่งผู้ใช้รถจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่หน่วยงานนั้น ๆ

    โดยเมื่อหน่วยงานรับเรื่อง ก็จะมีทีมงานส่งไปตรวจสอบความเสียหายโดยรอบ พร้อมคำนวณค่าเสียหาย และค่าแรงสำหรับการซ่อมแซมหรือรื้อถอน จากนั้นจึงส่งเป็นใบแจ้งหนี้ที่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น

    อีกทั้งยังมีความผิดจากการสร้างความเสียหายสาธารณสมบัติ โดยจะอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา หมวด 7 ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ในมาตรา 360 “ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

    ขับรถชนของหลวง เสียค่าปรับเท่าไหร่

    อุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมีราคาไม่เท่ากัน ซึ่งหากผู้ใช้รถขับรถชน ก็จะต้องมีการจ่ายค่าเสียหายควบคู่กับค่าปรับอื่น ๆ โดยชดใช้ในราคาที่แตกต่างกันตามสภาพความเสียหาย อย่างไรก็ตามราคาทั้งหมดนี้เป็นเพียงการประเมินในเบื้องต้นเท่านั้น เพราะในสถานที่เกิดเหตุจริง อาจมีความเสียหายอื่น ๆ ที่ทำให้ถูกคิดค่าเสียหายเพิ่มเติม รวมทั้งราคาอาจจะมากกว่า – น้อยกว่า ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยจะเป็นผู้ชี้แจง ว่าของแต่ละชนิดมีค่าเสียหายที่ต้องจ่ายอยู่ที่เท่าไหร่ อาทิ

    • เสาไฟฟ้า เสาไฟ้าถือเป็นทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรการไฟฟ้าที่ขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่โดยจะมีทั้งการไฟฟ้านครหลวงหรือส่วนภูมิภาค หากเกิดการเสียหายจากอุบัติเหตุ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยจะดูจากความสูงของเสา และประเภทกำลังไฟ เช่น เสาไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟฟ้าแรงกลาง และเสาไฟฟ้าแรงต่ำ สายไฟ หม้อแปลง หลอดไฟ รวมถึงค่าแรงที่จะต้องรื้อถอน และติดตั้งใหม่ จะมีราคาประมาณ 50,000-150,000 หรือถ้าเป็นเสาไฟไฮแมส หรือ เสาสูง (HIGH MAST POLE) ที่มีขนาดสูงตั้งแต่ 15-30 เมตร จะมีราคาสูงถึง 10,000- 300,000 บาท ทั้งนี้ถ้าหากเสาไฟฟ้าดังกล่าวพ่วงสายโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตจากเอกชนด้วย ก็จะมีการเพิ่มค่าเสียหายร่วมด้วย 
    • เสาไฟจราจร หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 8,000-15,000 บาท ต่อต้น ตามสภาพความเสียหายและขนาดของเสา
    • ป้ายจราจร ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทางหลวง ถ้าไปขับรถไปชนจนได้รับความเสียหาย จะมีราคาความเสียหายประมาณ 1,000-3,000 บาท ต่อต้น ตามสภาพความเสียหายและขนาดป้าย
    • แบริเออร์ จะมีราคาราว ๆ 800-1,500 บาท ต่อชิ้น ขึ้นอยู่กับประเภทวัสดุ และจำนวนที่เสียหาย
    • แผงกั้นจราจรแบบเหล็ก หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 1,000-5,000 บาท ต่อแผง ขึ้นอยู่กับขนาด หรือวัสดุ
    • กรวยจราจร จะมีราคาอยู่ที่ 200-800 บาท ต่อชิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของกรวย และจำนวนที่เสียหายทั้งหมด
    • เสาสีส้มล้มลุก หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 500 บาท ต่อต้น
    • ต้นไม้ จะมีสำนักงานเขตแต่ละเขต เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ และมีเทศบาลท้องถิ่นนั้น ๆ หากได้รับความเสียหาย จะขึ้นอยู่ที่เขตและเทศบาลเป็นผู้ประเมินราคา

    ขับรถชนของหลวง ประกันรับผิดชอบ และจ่ายชดเชยไหม

    อีกหนึ่งข้อสงสัยที่ผู้ใช้รถอยากรู้ก็คือ หากเกิดชนทรัพย์สินของหลวงเสียหาย ประกันจะสามารถจ่าย
    ได้หรือไม่ ?

    ซึ่งหากผู้ใช้รถทำประกันเอาไว้ บริษัทประกันสามารถเป็นผู้ชดใช้ในส่วนของค่าเสียหายได้ ทั้งเคลมส่วนของรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย และทรัพย์สินราชการภายนอก หรือของหลวงได้ แต่จะขึ้นอยู่กับวงเงิน และเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนด หากเกินกำหนด เจ้าของรถก็จะต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเพิ่มเติมด้วยด้วยตนเอง โดยประกันแต่ละประเภท จะมีเงื่อนไขคุ้มครองค่าเสียหายจากการชนของหลวงที่แตกต่างกันดังนี้

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 บริษัทประกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด ไม่ว่าจะชนอะไรก็ตาม แต่ขึ้นอยู่กับวงเงิน และสัญญาตามกรมธรรม์ที่ระบุในสัญญา หากเกินกำหนดเจ้าของรถก็จะต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเพิ่มเติมด้วยด้วยตนเอง
    • ประกันรถยนต์ชั้น 2 บริษัทประกันจะรับผิดชอบเพียงบางส่วน โดยเจ้าของรถที่สร้างความเสียหายต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งภายในสัญญาและกรมธรรม์ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบส่วนไหน

    แต่สำหรับผู้ที่ถือประกันรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ที่ประกันภัยไม่คุ้มครอง จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด หากเกิดความเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณจะมีประกันชั้นไหนก็ตาม ถ้าในกรณีเมาแล้วขับรถไปชนของหลวง จะถือว่าผิดตามสัญญาที่มีไว้ในกรมธรรม์ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณี

    ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูล และราคาคร่าว ๆ ของทรัพย์สินสาธารณะสมบัติบนท้องถนนหรือของหลวง หากเกิดการขับรถชนจนเสียหาย ซึ่งยังไม่รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาเป็นหางว่าวหากเจ้าของรถพลาดพลั้งไปชนเข้าไม่ว่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย หรือจงใจก็ตาม

    สิ่งสำคัญของการขับรถที่ปลอดภัยคือตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เมาไม่ขับ และควรมีประกันรถยนต์ติดตัวไว้เพื่อช่วยเหลือในตอนเกิดอุบัติเหตุ ลดภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นการขับรถอย่างมีสติ ปฏิบัติตามกฎจราจร จะเป็นการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างดีที่สุด

    ขอบคุณข้อมูลจาก : krisdika.go.thpea.co.thdoh.go.th

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view249226.html

    M-folw คืออะไร ?

    M-Flow คืออะไร ต่างจาก M-Pass/Easy Pass อย่างไร ? พร้อมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ 4 ด่าน 15 ก.พ. นี้

    M-Flow ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ 4 ด่าน ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565

     หลังกรมทางหลวงได้เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนและทดลองใช้ระบบ M-Flow ซึ่งเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดรถเพื่อจ่ายเงินและไม่มีไม้กั้น เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง และลดการสัมผัสเงิน ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมานั้น

     ล่าสุด M-Flow พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบแล้ว 4 ด่าน ได้แก่ ด่านธัญบุรี 1, ด่านธัญบุรี 2,  ด่านทับช้าง 1 และ ด่านทับช้าง 2 ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565 เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป

    ระบบ M-Flow คืออะไร

    ระบบ M-Flow คือ ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น ที่ใช้เทคโนโลยี AI และระบบเทคโนโลยี Video Tolling ในการตรวจจับป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องชะลอความเร็วเมื่อเข้าสู่ด่านจ่ายเงิน สามารถวิ่งผ่านด่านได้ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เกิน 120 กม./ชม.

    ผู้ที่ต้องการใช้งานระบบ M-Flow เพียงลงทะเบียนใช้บริการและวิ่งผ่านด่าน ระบบจะบันทึกข้อมูลไว้ โดยเป็นการวิ่งก่อน-จ่ายทีหลัง รองรับการใช้งานกับรถยนต์ทุกประเภทที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือทางพิเศษ ทั้งรถยนต์ 4 ล้อ, รถยนต์ 6 ล้อ และรถยนต์มากกว่า 6 ล้อขึ้นไป ชำระค่าธรรมเนียมผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หลังการใช้บริการ หรือระบบ Post Paid ทั้งแบบชำระเป็นรายครั้งหรือชำระตามรอบบิล รวมไปถึงการชำระผ่านเว็บไซต์หรือโมบายแอปพลิเคชันของระบบ M-Flow ตลอดจนการชำระด้วยระบบ QR Code และการชำระผ่านระบบตัดเงินอัตโนมัติ

    ระบบ M-Flow สมัครอย่างไร

    สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครใช้ระบบ M-Flow สามารถลงทะเบียนสมัครได้ง่าย ๆ ผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้

    1.เว็บไซต์ : mflowthai.com

    2.แอปพลิเคชัน : MFlowThai

    3.ไอดีไลน์ : @mflowthai

    เอกสารในการลงทะเบียนสมัคร ระบบ M-Flow

    • หมายเลขโทรศัพท์มือถือสำหรับใช้ในการลงทะเบียน
    • ข้อมูลตามบัตรประจำตัวประชาชน
    • บัตรประชาชนและภาพถ่ายคู่กับบัตรประชาชน
    • รายละเอียดที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและที่อยู่ปัจจุบัน
    • ข้อมูลรถ
    • ภาพถ่ายคู่มือจดทะเบียนรถหน้าแรก
    • รูปถ่ายรถด้านหน้ารถ (ด้านข้างและด้านหลังรถ ถ้ามี)

    โดยให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ติดต่อ อีเมล แจ้งหมายเลขทะเบียนรถที่จะนำมาใช้ และยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ พร้อมแจ้งวิธีการชำระเงิน ว่าจะเลือกชำระเป็นรายครั้งหรือชำระตามรอบบิล และให้เลือกรูปแบบชำระเงินที่ต้องการ

    ยังไม่ได้เป็นสมาชิก M-Flow สามารถใช้งานได้ไหม ?

    หากยังไม่เป็นสมาชิก M-Flow ก็สามารถใช้งานได้ ด้วยการวิ่งก่อนจ่ายทีหลังภายใน 2 วัน แต่ถ้าเนียนไม่จ่ายจะมีการเสียค่าปรับ ดังนี้

    • หากไม่จ่ายภายใน 2 วัน 

    ค่าผ่านทางตามจริง+ค่าปรับ 10 เท่า (30+300 = 300 บาท)

    • หากไม่จ่ายภายใน 12 วัน

    ค่าผ่านทางตามจริง+ค่าปรับ 10 เท่า+ปรับเพิ่ม (30+300+200 = 530 บาท) และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

    ป้ายทะเบียนแบบไหน ห้ามใช้ M-Flow

    • รถยนต์ที่ป้ายทะเบียนซีดจาง, ดัดแปลง, มีสิ่งบดบัง
    • รถยนต์ป้ายแดง
    • รถยนต์ทดสอบก่อนผลิต (TC) และรถยนต์ทดสอบคุณภาพก่อนจำหน่าย (QC)
    • รถยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

    ระบบ M-Flow ต่างจากระบบ M-Pass/Easy Pass อย่างไร?

    ระบบ M-Flow จะมีความต่างจากระบบ M-Pass/Easy Pass ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้

    ระบบ M-Flow

    • ไม่มีไม้กั้นที่ช่องทางเก็บเงิน
    • ไม่ต้องชะลอความเร็ว ขับรถได้ตามปกติ
    • ใช้เทคโนโลยี Video Tolling ระบบกล้องตรวจจับป้ายทะเบียนอัตโนมัติ
    • ใช้ได้กับรถทุประเภท ที่สามารถวิ่งได้ตามกฎของมอเตอร์เวย์
    • มีรูปแบบและช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย วิ่งก่อน จ่ายทีหลัง

    ระบบ M-Pass/Easy Pass 

    • มีระบบไม้กั้นที่ช่องทางเก็บเงิน
    • ต้องชะลอความเร็ว หรือจอดรอ และถอยหลัง หากไม้กั้นไม่เปิด
    • ใช้ Tag ติดกับตัวรถเพื่อรับส่งสัญญาณ บางครั้งมีปัญหาไม้กั้นไม่เปิดทำให้รถติด
    • รองรับเฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ
    • มีรูปแบบและช่องทางชำระเงินรูปแบบเดียว เติมเงินก่อนล่วงหน้า

    ทั้งนี้ M-Flow ถือเป็นระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นที่สร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้ทาง อย่างไรก็ตาม ควรขับขี่ด้วยความไม่ประมาทและปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและผู้อื่น

    ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก mflowthailand

    แหล่งอ้างอิง :https://car.kapook.com/view248171.html

    จอดรถขวางบ้านบ้านคนอื่น ผิดกฎหมายไหม ?

    จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น ผิดกฎหมายไหม แจ้งความจับได้หรือเปล่า ? อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    การจอดรถขวางหน้าบ้านผู้อื่น ถือเป็นปัญหาที่หลายครั้งนำมาสู่การทะเลาะวิวาท ถึงขนาดขึ้นโรงขึ้นศาล และเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา จนทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยว่าจริง ๆ แล้วการจอดรถบนถนนขวางบริเวณหน้าบ้านคนอื่นสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าจอดไปแล้วเจ้าของบ้านสามารถเอาผิดเจ้าของรถได้หรือเปล่าและผิดกฎหมายข้อไหน

    จอดรถขวางหน้าบ้านผิดกฏหมาย อาจโดนทั้งจำทั้งปรับ

    หากผู้ใช้รถจอดรถขวางทางเข้า-ออกบ้านของผู้อื่น เจ้าของบ้านที่ถูกรถจอดกีดขวางสามารถแจ้งความเพื่อเอาผิดได้ โดยเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง ฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้เสียหายยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง ตามมาตรา 420 และถ้าเป็นที่สาธารณะยังมีโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก เจ้าหน้าที่สามารถออกใบสั่งได้อีกด้วย

    ซึ่งตามกฎหมายไทยนั้นได้กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการจอดรถเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ว่าผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีสิทธิ์จอดรถกีดขวางทางเข้า-ออกบ้านผู้อื่น ไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่เอกชนหรือทางสาธารณะ เพราะถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 55 (6) ที่ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถ

    1.ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง

    2.บนทางเท้า

    3.บนสะพานหรือในอุโมงค์

    4.ในทางร่วมทางแยก

    5.ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ

    6.ตรงปากทางเข้า-ออกของอาคารหรือทางเดินรถ

    7.ในเขตปลอดภัย

    8.จอดในลักษณะกีดขวางการจราจร

    จอดรถอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ?

    เมื่อรู้แล้วว่าการจอดรถขวางหน้าบ้านผู้อื่นผิดกฎหมาย ทั้งกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก และผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งอาจทำให้มีสิทธิ์ติดคุกได้ ดังนั้นก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้อง โดยเรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการจอดรถที่ถูกกฎหมายมาแนะนำ ซึ่งถ้าทำตามนี้รับรองไม่ถูกจับแน่นอน

    • ห้ามจอดรถบนทางเท้า
    • ห้ามจอดรถบนสะพานหรืออุโมงค์
    • ห้ามจอดรถในทางข้าม หรือระยะ 3 เมตร จากทางข้าม หรือทางม้าลายนี่แหละห้ามจอด
    • ห้ามจอดรถในทางร่วมทางแยก หรือในระยะ 10 เมตร จากทางร่วมทางแยก
    • ห้ามจอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายจราจร “ห้ามจอดรถ”
    • ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตร จากท่อน้ำดับเพลิง
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร จากทางรถไฟผ่าน
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร จากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
    • ห้ามจอดรถซ้อนคันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว นอกจากทางห้างจะทำช่องพิเศษไว้ให้ และห้ามดึงเบรกมือ
    • ห้ามจอดรถตรงปากทางเข้า-ออกของบ้าน อาคาร ทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตร จากปากทางเดินรถ
    • ห้ามจอดรถระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะ 10 เมตร นับจากปลายสุดของเขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
    • ห้ามจอดรถในที่คับขัน
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง และเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร
    • ห้ามจอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม
    • ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตร จากตู้ไปรษณีย์

    รู้อย่างนี้แล้วผู้ขับขี่ทุกท่านคงต้องระมัดระวังเรื่องการหาที่จอดรถมากขึ้น อย่าเผลอไปจอดขวางทางเข้า-ออกบ้านใครเข้า เพราะอาจถูกแจ้งความได้ แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องจอดขวางจริง ๆ ควรทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ที่หน้ารถ เผื่อมีกรณีฉุกเฉิน เจ้าของบ้านจะได้ติดต่อได้สะดวก

    ขอบคุณข้อมูลจาก : moj.go.thkrisdika.go.thmoj.go.thtrafficpolice.go.th

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view247136.html

    ทำไมต้องวางพระไว้หน้ารถ ?

    วางพระหน้ารถ ควรหันหน้าไปทางไหน หันหน้าเข้าหรือออก

    ความเชื่ออย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับชาวพุทธโดยเฉพาะคนที่ต้องขับรถเดินทางไปไหนมาไหน มักกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทาง บางคนอาจจะยกมือไหว้แม่ย่านาง บางคนอาจจะมีเครื่องรางของขลังพกติดไว้ในรถ รวมถึงบางคนอาจนำพระมาตั้งหรือวางที่หน้ารถ เพื่อให้ท่านช่วยคุ้มครองระหว่างเดินทางอย่างปลอดภัย

    แต่การนำพระมาตั้งบูชาที่หน้ารถนั้น ก็ยังมีคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วเราควรตั้งพระให้หันหน้าไปทางไหนกันแน่ ระหว่างหันไปทางด้านหน้าตัวรถ หรือหันเข้ามาภายในตัวรถ และการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เข้ามาบูชาในรถควรวางหรือเก็บไว้บริเวณใดไปหาคำตอบกัน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถที่คนนิยมบูชา

    1. พระพุทธรูป

    ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนส่วนใหญ่มักจะมีติดรถไว้เป็นอันดับต้น ๆ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ปกป้อง และคุ้มครองให้เกิดความแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดการเดินทาง

    2. แม่ย่านาง

    เทพเทวดาที่มีความเชื่อว่าเป็นผู้ที่ปกปักรักษา คุ้มครองยานพาหนะต่าง ๆ เช่น เรือ เครื่องบิน และรถยนต์ ซึ่งผู้ที่มีความเชื่อและเคารพบูชามักจะนำพวงมาลัย ผลไม้ หมากพลู ข้าว และน้ำดื่ม มาถวายตามโอกาสเทศกาลต่าง ๆ

    3. วัตถุมงคล ของขลังต่าง ๆ

    วัตถุมงคลอื่น ๆ นอกเหนือจากพระที่คนนิยมบูชา ได้แก่ กุมารทอง ผ้ายันต์ และสิ่งของอื่น ๆ ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

    การตั้งบูชาวัตถุมงคลภายในรถ

    หากใครที่เชื่อในหลักของฮวงจุ้ย การตั้งพระหน้ารถนั้นควรตั้งหันหน้าออกไปทางหน้ารถหรือทิศทางเดียวกับคนขับ ตามความเชื่อคือเพื่อเป็นการเสริมดวง ให้พระได้เห็นในทิศทางเดียวกับเราเพื่อเป็นการปกป้อง คุ้มครองจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยการตั้งพระหันหน้าเข้ามาในตัวรถอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนรอบตัวได้

    สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องหลักฮวงจุ้ยการตั้งพระให้หันหน้าเข้ามาในตัวรถก็สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะบางคนอาจรู้สึกสบายใจ มีสติตื่นตัว เป็นเครื่องเตือนใจขณะขับขี่เมื่อได้เห็นด้านหน้าขององค์พระ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าการไหว้พระเราควรไหว้ต่อหน้าท่าน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการหันหน้าองค์พระเข้ามาในตัวรถ

    ข้อควรระวังในการตั้งพระหรือวัตถุมงคลในรถ

    1. เลือกขนาดให้เหมาะสม

    หากต้องการที่จะตั้งพระหน้ารถ หรือบูชาวัตุมงคลต่าง ๆ ภายในรถ ควรเลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไปจนบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ได้ 

    2. จัดวางในตำแหน่งที่ปลอดภัย

    การวางหรือตั้งพระที่หน้ารถนั้นควรวางในตำแหน่งที่ปลอดภัย ไม่ควรตั้งทับบนแอร์แบ๊กหรือถุงลมนิรภัยเพราะหากเกิดอุบัติเหตุ พระที่ตั้งอยู่อาจถูกแรงอัดจากถุงลมนิรภัยกระเด็นมาโดนคนขับหรือผู้โดยสารภายในรถได้ ที่สำคัญควรหาที่ยึด เช่น กาวสองหน้าหรือแผ่นยางกันลื่นมาติดกับองค์พระ เพื่อป้องกันการตกหล่นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ หากเป็นแบบแขวนควรเลือกขนาดให้เหมาะสมไม่ใหญ่หรือมีน้ำหนักมากเกินไป เวลารถเลี้ยวจะได้ไม่เหวี่ยงไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

    3. ไม่ควรมีจำนวนมากเกินไป

    การเชื่อมั่นเคารพบูชาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราไม่ควรนำพระ หรือวัตุมงคลต่าง ๆ เข้ามาไว้ในรถมากจนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้รถดูอึดอัดคับแคบแล้ว ยังเสี่ยงอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุ และยิ่งถ้าพระ-วัตถุมงคลต่าง ๆ มีมูลค่าสูง ก็อาจถูกโจรกรรมได้

    ทั้งนี้การตั้งบูชาพระหน้ารถ หรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ตามความเชื่อนั้นสามารถทำได้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ควรบูชาให้เหมาะสม และที่สำคัญไม่ว่าพระที่เราบูชาจะมีชื่อเสียง หรือบารมีแค่ไหนหากเราขับรถด้วยความประมาท อุบัติเหตุก็สามารถเกิดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นควรขับขี่อย่างมีสติ ไม่ประมาท ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดก็สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view250379.html

    ไฟหรี่มีไว้ทำไม

    หน้าที่หลักของระบบไฟหน้า คือการให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ชัดเจนในกรณีที่ภายนอกมีแสงน้อยหรือเข้าสู่ช่วงกลางคืน พร้อมกับแจ้งเตือนทิศทางให้คันข้างหน้าได้ทราบ ซึ่งมีหลายฟังก์ชันให้คุณได้ใช้งานเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถและผู้โดยสารในสถานการณ์ต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ ไฟหรี่ ที่หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่น้อยคนที่จะใช้งานเป็น ดังนั้นเพื่อเป็นการคลายข้อสงสัยว่า ไฟหรี่รถยนต์ คืออะไร และมีไว้ทำไม เราไปทำความรู้จักพร้อม ๆ กันเลย 

    ไฟหรี่รถยนต์ คืออะไร

    ไฟหรี่รถยนต์ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Sidelights จะเป็นไฟขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างไฟหน้า โดยหน้าที่ของมันคือการเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นพื้นที่ที่มีไฟน้อย แต่ไม่ต้องการใช้แสงที่สว่างมาก เช่น การขับรถในอุโมงค์ หรือการค้นหาที่จอดรถในลานจอดรถ หรือต้องการเปิดไว้เพื่อบอกให้รถคันอื่นทราบว่ามีรถจอดอยู่ เป็นต้น สำหรับไฟหรี่รถยนต์จะต้องใช้ไฟสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และต้องเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง หากเป็นสีอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ถือว่าผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่มีการแก้ไขดัดแปลงโคมไฟหน้าให้เป็นแสงสีอื่น หรือดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    ไฟหรี่รถยนต์มีประโยชน์อย่างไร

    เนื่องจากเป็นไฟที่มีกำลังต่ำ ช่วยควบคุมปริมาณแสงไฟไม่ให้สว่างมากเกินไป ซึ่งทำให้คุณสามารถมองเห็นพื้นที่ระยะใกล้ได้ดีกว่าการใช้ไฟหน้าหรือไฟสูงเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังไม่เป็นการรบกวนผู้สัญจรคนอื่น หรือคนในชุมชนที่กำลังพักผ่อนในเวลากลางคืน โดยเฉพาะการเปิดไฟหรี่เพื่อส่องประตูหน้าบ้าน หรือส่องกะระยะจอดรถในที่มืดหรือโรงรถ 

    อีกทั้งเมื่อขับรถบนท้องถนนที่มีมากกว่า 2 เลน หากรถคุณไม่มีเทคโนโลยีปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ หรือ Auto High Beam การใช้ไฟหรี่จะช่วยให้ไม่รบกวนรถที่อยู่ด้านหน้า หรือรถที่วิ่งสวนทางมา เนื่องจากให้ความสว่างที่เพียงพอ รวมถึงยังมีประโยชน์ใช้เป็นชุดสำรองเมื่อชุดไฟหลักขาด

    ในบางประเทศได้มีการกำหนดเป็นข้อกฎหมายของการเปิดไฟหรี่รถยนต์ อาทิ ในสหราชอาณาจักร ผู้ใช้รถต้องเปิดไฟหรี่เมื่อขับด้วยความเร็วไม่เกิน 30 ไมล์/ชม. หรือราว 48 กม./ชม. หากฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานละเมิดระเบียบข้อบังคับด้านแสงสว่างสำหรับยานพาหนะบนถนน ปี 1989 ซึ่งจะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 35-75 ปอนด์ หรือ 1,500-3,300 บาท

    ไฟหรี่รถยนต์ ต่างจากไฟส่องกลางวันอย่างไร

    ไฟหรี่จะช่วยเพิ่มระยะการมองเห็น และสามารถมอบทัศนวิสัยในการมองได้ในทุกสภาวะโดยไม่ต้องเปิด-ปิดไฟบ่อย ๆ เช่น เจอฝุ่นควัน หรือเมฆบังแดด แต่อาจจะส่งผลให้ลดอายุขัยของหลอดไฟได้ หรือกินพลังงานจนแบตเตอรี่หมดไว จึงทำให้ผู้ผลิตได้พัฒนาไฟส่องกลางวัน หรือ Daytime Running Light (DRLs) โดยใช้หลอด LED ที่นอกจากช่วยเพิ่มการมองเห็นในการขับขี่เวลากลางวันแล้ว ยังทำให้รถคุณดูดีอีกด้วย ซึ่งความแตกต่างของไฟ Daytime Running Light กับไฟหรี่ นอกจากจะเป็นในส่วนของรูปทรงแล้ว ความสว่างก็ยังแตกต่างกันด้วย โดยไฟ Daytime Running Light จะส่องสว่างมากกว่าไฟหรี่

    แม้ในปัจจุบันการพัฒนารถใหม่ได้ให้ความสำคัญแก่ระบบโคมไฟหน้า ไฟตัดหมอก และไฟท้ายที่ทันสมัย ปรับความเข้มของแสงได้หลากหลาย หรือไฟหน้ารถบางรุ่นสามารถทำงานได้หลากรูปแบบตามโหมดระบบส่องสว่าง หรือสามารถหันได้ตามองศาการเลี้ยว แน่นอนว่าก็มีโหมดไฟหรี่รถยนต์ที่ผู้ใช้รถสามารถปรับเลือกได้ หรือหากใครที่ใช้รถรุ่นเก่าที่ไม่มีเทคโนโลยีมากมายนัก การใช้ไฟหรี่ก็เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกในระหว่างขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้มองเห็นเส้นทาง และระหว่างจอดรถก็ช่วยสร้างความปลอดภัยได้ในหลากหลายสถานการณ์ อีกทั้งยังจะเป็นไฟสำรองได้ในกรณีที่ไฟหลักของรถขาด 

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาคู่มือรถยนต์เพื่อให้ได้รู้จักหน้าที่ของระบบไฟแต่ละชนิด และหมั่นใช้งานจริงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกเยอะเลยครับ

    ขอบคุณข้อมูลจาก : autobulbsdirect.co.ukpowerbulbs.comrac.co.ukdlt.go.thkrisdika.go.th

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view250379.html

    check-credit