เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

15 ผลไม้ต้องห้าม! อย่านำมาไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

1.ละมุด : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักไม่โดดเด่น ปิด ๆ ซ่อน ๆ 

2.มังคุด : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่ได้ดีเท่าที่ควร ไปไม่ถึงที่สุด ไม่โดดเด่น

3.พุทรา : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วดีในช่วงแรกๆ ช่วงหลังๆ ซาซา

4.มะเฟือง : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักผืดเคือง ไม่อะไรก็อะไร สักอย่าง

5.มะไฟ : เชื่อกันว่าทำอะไรแล้วมักต้อง เร่งๆ รีบๆ เหมือนไฟลน ไม่ได้คุณภาพ

6.น้อยหน่า : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักมีปัญหาอุปสรรคเล็กน้อย อยู่เสมอ ทำแล้วได้ผลเพียงน้อยนิด

7.น้อยโหน่ง : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ได้ผลสมบรูณ์เพียงน้อยนิด มีอุปสรรคปัญหา ไม่สมบรูณ์แบบ

8.มะตูม : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่เจริญก้าวหน้า เช่นเดียวกับชื่อที่ตูมอยู่ตลอด ไม่ก้าวหหน้า ไปไม่ได้ไกล

9.มะขวิด : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วมักจะประสบปัญหา ไม่ครบ ขาดโน่น ขาดนี่เสมอ

10.ลูกจาก : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ยั่งยืน

11.ลูกพลับ : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ผลงานต้องโดนเก็บใส่ลิ้นชัก ไม่ได้แสดงผลงาน ไม่ก้าวหน้า

12.ลูกท้อ : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจ

13.ระกำ : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ประสบความสำเร็จ

14.กระท้อน : เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว สิ่งที่ดีๆ ที่ต้องการเผยแพร่ออกไป กลับสะท้อนมายังจุดเดิม

15.ลางสาด : เชื่อกันว่า เป็นผลไม้ที่มียาง ทำอะไรแล้วมักจะมีเรื่อง ยุ่งยากวุ่นวาย

  อาจะดูเยอะไปสักนิดนะคะ แต่ถ้าหากคุณหลีกเลี่ยงได้ก็จะเป็นการดี และยังจะช่วยเสริมความเป็นมงคลได้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ ขอให่ทุกท่านโชคดี เฮง ๆ มีแต่โชคลาภนะคะ

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ sanook.com

สิ่งของอัปมงคลที่ไม่ควรมีในรถ

ว่าด้วยเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับรถยนต์ เชื่อว่าก่อนที่จะออกรถ หลายๆ คนก็คงจะหาฤกษ์ หาวันที่เหมาะสม เพื่อเสริมความสิริมงคล และเมื่ออกรถเรียบร้อยแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องอยู่คู่ประจำรถ เพื่อช่วยเสริมการเดินทางอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งนอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรถแล้ว ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับของที่ไม่เป็นมงคลที่ไม่ควรมีอยู่ในรถด้วย มาสำรวจดูกันว่ามีสิ่งของเหล่านี้อยู่ในรถหรือไม่

สิ่งของที่มีรอยร้าว

  • เชื่อว่าจะทำให้มีเรื่องบาดหมางกับคนใกล้ชิด มีเรื่องให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ และเสียน้ำตา

นาฬิกาตาย

  • เชื่อว่าจะทำให้พบเจอแต่เรื่องทุกข์ เรื่องร้ายๆ และการสูญเสีย

พวงมาลัยแห้ง

  • หากซื้อพวงมาลัยดอกไม้สดมาแขวนรถ เมื่อพวงมาลัยแห้งแล้วควรนำออกจากรถ เพราะเพราะพวงมาลัยสดเปรียบเสมือนเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนออกเดินทางให้มีแต่ความราบรื่น แต่เมื่อพวงมาลัยแห้งเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางลำบาก ไม่ราบรื่น

สิ่งของของคนเสียชีวิตไปแล้ว

  • เชื่อว่าจะทำให้มีเรื่องให้ต้องไม่สบายใจ จมอยู่กับความเครียด

สตางค์ร่วงหล่นในรถ 

  • เชื่อว่าจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ เงินไหลออกมากกว่ารับ

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น และแม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้เรารู้สึกอุ่นใจเวลาขับรถ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือสติ การเตรียมร่างกายให้พร้อม และหมั่นตรวจเช็กสภาพรถออกเดินทางด้วยนะคะ~

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ sanook.com

8 ระบบของเหลวในรถ ที่ควรหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำ ยืดอายุการใช้งานของรถให้ยาวนาน

ระบบของเหลวในรถ ก็มีอายุการใช้งานเหมือนอุปกรณ์อื่นๆ ทั่วไปในรถยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้หากปล่อยให้แห้งให้หมดไป แน่นอนผลที่ตามมาคือกาารทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเต็มทีี่ของอุปกรณ์ส่วนนั่นๆ เพราะฉะนั้นเราควรหมั่นตรวจเช็คระบบของเหลวส่วนต่างๆภายในรถส่วนอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันการเสียหายจากจุดเล็กๆ ก่อนจะรุกรามทำให้รถเสียหายหนักมากขึ้นกว่าเดิม

น้ำมันเครื่อง
ควรตรวจเช็คอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1ครั้ง เเละควรทำหลังจากดับเครื่องยนต์มากกว่า 5นาที ด้วยการจอดรถบนพื้นราบจากนั้นดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา ใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบน้ำมันที่ก้านเเล้วเสียบกลับเข้าไปอีกครั้ง โดยก้านวัดระดับแบ่งออกเ็นสองระดับบคือ MIN ต่ำสุด เเละ MAX มากสุด ระดับของน้ำมันเครื่องที่ดีควรอยู่ระหว่างกึ่งกางของทั้งสองจุด หากต่ำก่า MIN น้ำมันเครื่องน้อยเครื่องยนต์จะสึกหรอเร็ว แต่ถ้าเกินจุด MAX จะทำให้เกิดควันขาวมากเพราะมีการเผาไม้ที่เกินพอดี หลังเติมน้ำมันเครื่องควรสตาร์ทเครื่องยนต์ให้น้ำมันเครื่องได้หมุนเวียนในเครื่องยนต์เเละดับเครื่อง เเละควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อรถวิ่งถึงระยะ 8,000 – 10,000 ก.ม. หรือทุกๆ 6 เดือน ถ้ารถใช้งานบ่อยก็อาจเปลี่ยนทุกๆ 5,000 ก.ม. หรือทุก 3 เดือน

น้ำมันเพาเวอร์
น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์สำหรับรถที่ไม่ได้ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแต่ยังใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิคอยู่ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะลดระดับลงช้ามากฉะนั้นควรตรวจเช็คทุกๆ 1ปี หรือทุกๆ 80,000 กิโลเมตร เพราะหากนานกว่านั้นอาจส่งผลเสีย เช่น การบังคับเลี้ยวจะทำได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ปั๊มหรือชุดเฟืองขับและเฟืองสะพานอาจได้รับความเสียหายเมื่อไม่มีน้ำมันช่วยลดแรงกระแทก การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเปลี่ยนปั๊มพวงมาลัยเพาเวอร์หรือชุดเฟืองขับและเฟืองสะพาน

น้ำมันเบรก
แม้น้ำมันเบรกจะมีการลดลงน้อยในการใช้งานแต่ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกในทุกๆ 1ปี หรือ เปลี่ยนทุก ๆ 40,000 กม. สามารถตรวจปริมาณน้ำมันเบรกได้จากในกระปุกน้ำมันเบรกที่ห้องเครื่อง น้ำมันเบรกที่มีขายในท้องตลาดแบ่งระดับจุดเดือดตามตัวย่อ DOT ไว้ที่ 3, 4 เเละ 5 สำหรับรถยนต์บ้านทั่วไป ควรเลือกใช้ DOT3 หรือ DOT4 ก็พอเพราะเป็นน้ำมันที่เหมาะกับความร้อนการทำงานของจานเบรก

น้ำมันเกียร์
ระบบเกียร์คือส่วนที่ต้องดูเเลในรถเป็นพิเศาเพราะหากเกิดการสึกหรอหรือเสียหายบอกได้เลยว่าการซ่อมแซมต้องใช้เงินมากกว่าการดูเเลเสียอีก ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 20,000-30,000 กิโลเมตร แต่ถ้าคุณมีพฤติกรรมการขับรถที่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ ควรเปลี่่ยนทุกระยะทาง 10,000 – 20,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 1 ปี

น้ำมันคลัทช์
สำหรับรถเกียร์ธรรมดาทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันคลัทช์ (ใช้น้ำมันเบรคชนิดเดียวกัน) ควรเปลี่ยนพร้อมน้ำมันเบรค การเปลี่ยนน้ำมันคลัทช์ทุกปีช่วยยืดอายุชิ้นส่วนเหล่านี้ได้มากควรเปลี่ยนถ่ายทุก 1-1 ปีครึ่ง

น้ำหม้อน้ำ
ไม่ควรเติมแต่น้ำอย่างเดียวในหม้อน้ำ ควรเติมน้ำยาหล่อเย็นบ้างในบางครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สนิมเกาะหมอน้ำ การเลือกใช้น้ำยาหล่อเย็นควรศึกษาให้ดีเพราะน้ำยาหล่อเย็นจะมีให้ทั้งสูตรผสมกับน้ำหรือไม่ผสมกัับน้ำ ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำทุกๆ สัปดาห์ เเละควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 6เดือนหรือ 9เดือน

น้ำฉีดกระจก
ระดับควมพร่องของน้ำฉีดกระจกขึ้นอยู่กับพฤติกรรมปริมาณการใช้งานของคุณ หากคุณเป็นคนที่มักใช้ระบบน้ำฉีดกระจกบ่อยๆ ควรตรวจเช็คระดับน้ำสัปดาห์ละ 1ครั้ง เเละควรผสมน้ำยาทำความสะอาดแบบเจือจางเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มความสะอาดขณะที่ก้านปัดน้ำฝนกำลังทำงาน

น้ำกลั่นแบตเตอรี่
สำหรับรถที่ใช้แบตเตอรี่แบบต้องเติมน้ำกลั่น ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นทุกสัปดาห์ เวลาเติมควรเติมทุกจุด โดยระดับน้ำกลั่นที่เหมาะสมควรท่วมแผ่นธาตุเล็กน้อย แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งาน 2-3 ปี ทุกครั้งที่คุณเริ่มรู้สึกได้ว่าระบบไฟในรถยนต์เริ่มรวน เสียงแตรฟังเเล้วขัดๆ ไม่ชัดเจน นั่นหมายถึงอาการของแบตเตอรี่เสื่อมเริ่มมาเเล้ว ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่เนิ่นๆ ก่อนที่กำลังไฟในรถของคุณจะหมดกลางทาง

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ auto.mthai.com

ติดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์แบบไหนเหมาะกับแดดเมืองไทย

ด้วยภาวะโลกร้อนหรือ (Global Warming) ที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีค่าที่สูงขึ้นจนเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบางอย่าง เช่น ความผันแปรของการแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ ที่ส่งผลต่อการเพิ่มอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโลก ทำให้มนุษย์มีความต้องการเครื่องมือที่จะช่วยบรรเทาความร้อน มากขึ้น เครื่องปรับอากาศ หรือ อุปกรณ์ที่ช่วยบรรเทาความร้อนต่าง ๆ ไม่ให้แผ่กระจายเข้าสู่พื้นที่อาศัย

ภายในรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ต้องการได้รับการปกป้องจากอุณหภูมิความร้อนและแสงแดด เช่นเดียวกัน จึงมีนวัตกรรมฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ หรือ โพลีเอสเตอร์ มีคุณสมบัติเหนียว บางเรียบ ไร้รอยย่น ยืดหยุ่นน้อย มีความทนทานต่อสภาพอากาศ สามารถยยึดเกาะกับเนื้อกระจกได้อย่างเรียบสนิทโดยใช้กาวที่มีความบางใสเป็นตัวเชื่อม ในเนื้อฟิล์มกรองแสงจะมีวัสดุที่ใช้เพื่อป้องกันความร้อน ฉะนั้นฟิล์มกรองแสงจึงช่วยลดความร้อน ลดรังสีอินฟราเรด และรังสียูวีที่เข้ามากระทบได้เป็นอย่างดี

ทำไมรถยนต์ต้องติดฟิลม์กรองแสง?

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวของฟิล์มกรองแสงจึงนิยมนำมาใช้ในรถยนต์เพื่อลดแสง ลดความร้อน ให้กับภายในรถยนต์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ปัญหารถยนต์ที่จะตามมา การดูแลบำรุงรถยนต์ เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งาน  โดยสรุปได้เป็นหัวข้อหลัก ๆ ดังนี้

1.การลดความร้อน ซึ่งฟิล์มกรองแสงที่ดีสามารถลดอุณหภูมิภายในรถลงได้กว่า 60%

2.ป้องกันผิวหนังและดวงตา โดยการติดฟิล์มกรองแสงสามารถลดรังสีอัลตร้าไวโอเลตหรือยูวีได้กว่า 99% ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังและต้อกระจก

3.ลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะสามารถยึดกระจกไม่ให้แตกกระจายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ปลอดภัยจากความคมของเศษกระจก หรือเศษจากกระจกนิรภัย กระเด็นเข้าตา

4.เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ การติดฟิล์มกรองแสงสามารถลดแสงจ้าจากดวงอาทิตย์, แสงไฟจากรถที่วิ่งสวนทาง ทำให้ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีขึ้น

5.สร้างความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย การติดฟิล์มกรองแสงที่มีความทึบแสงจะช่วยบดบังผู้ประสงค์ร้ายภายนอก และบดบังทรัพย์สินภายใน

6.การติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยปกป้องรถคุณ ไม่ให้อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัด, คอนโซน, พวงมาลัย ฯลฯ ซีดจางและแตกร้าวเร็ว

7.ประหยัดพลังงาน การติดฟิล์มกรองแสงที่ดีสามารถช่วยประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อนได้ โดยการป้องกันความร้อนที่เข้ามาในตัวรถ ทำให้ระบบปรับความเย็นในรถ ทำงานน้อยลงจึงเป็นการช่วยประหยัดพลังงาน รวมถึงค่าดูแลรักษาระบบปรับความเย็นอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ภูมิอากาศของแต่ละที่ในโลกมีความแตกต่างกัน ในประเทศที่มีอุณภูมิเฉลี่ยที่ไม่สูงและแสงแดดที่ไม่จัด ก็อาจใช้เพียงฟิล์มติดรถยนต์มาตรฐานธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น แต่สำหรับในประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน มีแดดจัดตลอดทั้งปี ต้องติดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์แบบไหน ถึงจะเหมาะสมกันบ้างสามารถป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้เราจะมาแนะนำกัน

ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.ฟิล์มแบบย้อมสี

ฟิลม์ย้อมสี

การเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีคุณสมบัติช่วยลดแสง ลดความร้อนจากแสงแดดที่ส่องมายังตัวรถยนต์ ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีลักษณะเป็นสีรุ้ง เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน จะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ซึ่งการใช้งานขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล

2.ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน ลดความร้อน

Nano Film

ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน เป็นฟิล์มที่สามารถพบเห็นตามรถยนต์ทั่วไป เพราะส่วนใหญ่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อน และทำหน้าที่สะท้อนความร้อนได้เป็นอย่างดี  สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

– ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือ ฟิล์มปรอท

ฟิล์มประเภทนี้มีความใส แสงส่องผ่านมากถึง 60 % แถมยังทนความร้อนได้เป็นอย่างดี  เมื่อแสงมาตกกระทบไม่เกิดเงา และที่สำคัญมีราคาแพงมาก

-ฟิล์มนิรภัย

เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ในปัจจุบัน เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีการผลิตฟิล์มกรองแสง ได้พัฒนาขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง จากสมัยก่อนที่ต้องมีการย้อมสีฟิล์มเพื่อเพิ่มความเข้ม เพิ่มเฉดสี หรือเคลือบสารโลหะต่างๆ เช่น ทอง เงิน อลูมิเนียม เพื่อใช้ในการสะท้อนความร้อน หรือที่เรียกกันว่า ฟิล์มปรอท มาในปัจจุบัน มีการใช้สารอนุภาคนาโนในรูปแบบต่างๆ เช่น เซรามิค มาช่วยเสริมเข้าไปในเนื้อฟิล์มกรองแสง ทำให้ฟิล์มกรองแสงในปัจจุบันนั้น มีคุณสมบัติโดดเด่นหลากหลายประการ โดยเฉพาะการกันความร้อน เพราะอนุภาค นาโน มีคุณสมบัติในการตัดรังสีความร้อนได้โดยเฉพาะ โดยไม่ต้องอาศัยการสะท้อนของแสงเหมือนฟิล์มสมัยก่อน ผลที่ได้ทำให้ฟิล์มนาโนเซรามิค ที่มีการสะท้อนแสงน้อย ไม่เงา ไม่มีปรอท ทำให้เวลาขับรถไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ความคมชัด จะดีกว่าฟิล์มกรองแสงทั่วๆไป และอนุภาคนาโนยังมีความทนทานต่อความร้อนสูง สามารถคงอนุภาคนาโนได้นาน ไม่เสื่อมสภาพ ทำให้ฟิล์มที่ทำจากนาโนเซรามิคนั้น มีความทนทานกว่าฟิล์มทั่วๆไป ที่สำคัญ สีฟิล์มจะไม่ซีดจาง และการป้องกันความร้อนก็จะป้องกันได้สม่ำเสมอ ตลอดอายุการใช้งาน

ฟิล์มเซรามิค

เส้นใยนาโนเซรามิกเป็นวัสดุที่ได้รับความสนใจอย่างมากในการนำไปประยุกต์ใช้งานที่ หลากหลายด้วยสมบัติที่ขึ้นกับพื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้นและขนาดที่เล็กลงของวัสดุ นอกจากนี้เส้นใยนาโนยังมี สมบัติพิเศษทั้งทางด้านฟิสิกส์ เคมี

เทคนิคการเลือกฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์

  • ขับรถเฉพาะช่วงกลางคืน / ขับกลางคืนบ่อย หรือมีปัญหาเรื่องสายตา เราแนะนำให้ติดเป็นฟิล์มใสลดความร้อน
  • หากต้องการความเป็นส่วนตัว ชอบฟิล์มสีทึบ และไม่มีปัญหาเรื่องสายตา สามารถเลือกฟิล์มสีทึบ จะเคลือบโลหะหรือเป็นฟิล์มเคลือบสารพิเศษก็ได้
  • หากต้องใช้อินเตอร์เน็ตจากมือถือ หรือต้องใช้ระบบ GPS ในการนำทาง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฟิล์มที่มีส่วนผสมของโลห
  • ถ้ากระจกรถของคุณมีสีค่อนข้างทึบจากโรงงานผู้ผลิต หรือต้องการที่จะโชว์วัสดุอุปกรณ์ในการแต่งภายในรถ เราแนะนำให้ใช้ฟิล์มใสลดความร้อน เป็นต้น

จากการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง พบว่า ส่วนหนึ่งของผู้ซื้อยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างความทึบแสงกับความสามารถในการป้องกันความร้อน ความเข้าใจที่ว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีหรือความทึบของฟิล์มกรองแสงไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้ต่างหาก ลองมาดูว่าส่วนประกอบจากความร้อนที่เราได้รับมีอะไรบ้าง

โดยส่วนประกอบของความร้อนที่เราได้รับนั้นมีสัดส่วนและแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ความสว่างของแสง(Visible Light) มีสัดส่วน 44% รังสีอินฟาเรด(รังสีใต้แดง – Infrared) มีอยู่ 53% รังสียูวี(รังสีเหนือม่วง, รังสีอุลตร้าไวโอเลต – Ultra violet หรือ UV) มีอยู่ 3% ดังนั้นฟิล์มกรองแสงที่สามารถลดความร้อนได้ดีควรจะลดรังสีทั้ง 3 ส่วนได้มากๆ ตัวอย่างเช่น หากท่านติดฟิล์มกรองแสงที่มีความทึบแสงมากๆ แต่ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ เป็นประเภทฟิล์มย้อมสีหรือเป็นฟิล์มกรองแสงที่ไม่ได้มีส่วนผสมของโลหะหรือสารพิเศษใดๆ ท่านจะรู้สึกถึงความร้อนที่ผ่านชั้นผิวของฟิล์มกรองแสงเข้ามา นั่นก็คือฟิล์มกรองแสงนั้นๆสามารถลดได้แค่ช่วงความสว่างของแสงที่มีสัดส่วนอยู่ 44% แต่รังสีอินฟาเรดยังสามารถผ่านทะลุเข้ามาได้จนรู้สึกถึงความร้อน ในทางกลับกันหากท่านติดฟิล์มกรองแสงที่มีส่วนผสมพิเศษไม่ว่าจะเป็นส่วนผสมของโลหะหรืออื่นๆ แต่ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ มีค่าความทึบแสงน้อย(แสงส่องผ่านเข้าไปได้เยอะ) ท่านก็จะรู้สึกถึงความร้อนจากความสว่างของแสงที่ส่องผ่านฟิล์มกรองแสงเข้ามา ส่วนรังสียูวีนั้นเป็นส่วนประกอบน้อยมากของความร้อน (3%) ซึ่งฟิล์มกรองแสงเกือบทั้งหมดสามารถลดรังสียูวีได้มากกว่า 95% อยู่แล้ว

สุดท้ายการเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถมากที่สุด แต่สำหรับสภาพอากาศในบ้านเราจากที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นมาทั้งหมด ฟิล์มเคลือบโลหะ  , ฟิล์มปรอท และ ฟิล์มเซรามิค น่าจะเหมาะสมมากที่สุด เพราะสามารถกันความร้อนได้ถึง 90% หาซื้อง่ายมีหลากหลายราคาตามยี่ห้อและคุณภาพ

ฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมกับเมืองไทย

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงรถยนต์มาติดตั้งควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญในเรื่องการติดฟิล์มกรองแสง และร้านรับติดฟิล์มที่มีคุณภาพ แม้จะต้องจ่ายค่าแรงที่สูงแต่ก็คุ้มค่าที่จะลงทุนเพื่อยืดอายุรถยนต์คันเก่งของเราให้ใช้งานได้ไปนาน ๆ

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ chobrod.com

หัวเทียนร้อน หัวเทียนเย็น ใช้งานต่างกันอย่างไร

ว่ากันด้วยเรื่องของ หัวเทียน ที่เชื่อเลยว่าหลายๆคนคงยังไม่รู้ว่า หัวเทียน ที่เราใช้ๆกันอยู่นั้น ไม่ใช่มีแค่เพียงแบบเดียว แต่ที่จริงแล้ว หัวเทียน นั้นมีสองแบบคือ หัวเทียนร้อน และ หัวเทียนเย็น ส่วนการใช้งานจะแตกต่างกันอย่างไรนั้น ลองมาดูกันเลย

สำหรับการทำงานของ หัวเทียน นั้นก็อย่างที่รู้ๆกันว่า หน้าที่ของ หัวเทียน คือ การสร้างประกายไฟเพื่อจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ซึ่ง การเลือกใช้ หัวเทียน นั้นเราก็ต้องเลือกให้เหมาะกับประเภทการใช้งานด้วย เพราะถ้าเกิดเลือกใช้ หัวเทียน ผิดประเภท ก็อาจจะส่งผลเสียกับ เครื่องยนต์ ได้ และสำหรับความแตกต่างของ หัวเทียนร้อน กับ หัวเทียนเย็น ก็คือ

  • หัวเทียนร้อน เป็น หัวเทียน ที่ระบายความร้อนจากการเผาใหม้ ออกไปภายนอกได้น้อย โดยจะสะสมความร้อนไว้ที่ตัวเองเป็นส่วนมาก จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับ เครื่องยนต์ ที่ใช้งานหนักเป็นเวลานาน เพราะถ้าหาก เครื่องยนต์ ทำงานหนักมากๆ ความร้อนสูงขึ้น โอกาสที่หัวเทียนจะชิงจุดระเบิดก่อนจึงมีสูง และอาจจะส่งผลให้ เครื่องยนต์ เสียหายได้ รถที่เหมาะกับ หัวเทียน ประเภทนี้ก็คือ รถที่ส่วนใหญ่มักจะใช้งานในเมืองเป็นหลัก มีการเดินทางในระยะสั้น
  • หัวเทียนเย็น เป็น หัวเทียน ที่ระบายความร้อนได้โดยง่าย อย่างรวดเร็ว เหมาะกับรถที่ทำงานหนัก เดินทางไกลบ่อยๆ มีการใช้งานรอบสูง แต่ถ้าใช้กับรถที่มีการใช้งานที่เบา ด้วยประสิทธิภาพการทำงานทีต่ำ อาจจะทำให้เครื่องยนต์เดินไม่ลื่นเกิดการสะดุด

ส่วนการเลือกใช้ หัวเทียน นั้นถ้าใช้ไม่เหมาะกับประเภทการใช้งาน หรือประเภทของ เครื่องยนต์ อาจจะอาการ หัวเทียน บอด ส่วนใครที่กังวลว่าหากจะต้องเปลี่ยน หัวเทียน อาจจะเลือกได้ไม่ถูกต้อง ในกรณีนี้ให้ลองศึกษาคู่มือที่ติดมากับรถแต่ละรุ่นไว้ได้เลย หรือลองปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์บริการก็ได้

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ auto.mthai.com

พระหน้ารถสวยๆ บูชาพระตั้งหน้ารถให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาด

ความเชื่อของเราชาวไทยเกี่ยวกับรถยนต์มีหลากหลายมากมาย ทั้งฤกษ์วันออกรถ การเจิมรถ รวมถึงพระเครื่องที่ขึ้นชื่อเรื่องการแคล้วคลาดมาติดรถไว้เพื่อความสบายใจ พี่กู๊ดเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับการแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆ ทั้งนี้ อาจจะมองได้ในหลายแบบว่าการรอดครั้งนี้เกิดจากสมรรถภาพของรถยนต์ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีติดรถ แต่เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล พี่กู๊ดเพียงรวบรวมพระเครื่องชื่อดังขึ้นชื่อเรื่องแคล้วคลาดปลอดภัย พร้อมหลักการติดตั้งพระภายในรถเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ตำแหน่งที่ใช่ ส่งเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคง่ายๆ เสริมให้ความแคล้วคลาดเป็นจริงมากขึ้น ต้องทำอย่างไรบ้าง ลองมาดูกัน

พระตั้งหน้ารถ พระติดรถยนต์ยอดนิยม

– หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

เหรียญหลวงพ่อคูณ ถือเป็นหนึ่งพระเครื่องยอดฮิตที่คนมีรถติดรถ ขึ้นชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง หากบูชาแล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ว่าเจออะไรก็จะปลอดภัยทุกครั้งไป

– หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

มีคำพูดแบบปากต่อปากเกี่ยวกับหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า “หากมีพระเครื่องวัดปากน้ำอยู่กับตัว ในน้ำไม่ตาย บนบกไม่ตาย กลางอากาศไม่ตาย ลาภผลไม่ขาดมือ และมีค่าเท่ากับสมบัติพันล้าน หากมุ่งหวังสิ่งใดก็ให้อธิษฐานเถิดจักเกิดสัมฤทธิ์ผลทุกประการ” หลายต่อหลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ แต่คนที่ห้อยหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้นกลับไม่ได้รับบาดเจ็บ

– หลวงปู่ทวด

หลวงปู่ทวด ชื่อคุ้นหูใครหลายคน จริงๆ แล้วท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีความเชื่อกันว่าพระเครื่องหลวงปู่ทวดจะมีอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองผู้ที่มีพระเครื่องหลวงปู่ทวดในครอบครอง มีความเชื่อว่าจะช่วยปกปักรักษา แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง

– หลวงพ่อโสธร

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองแปดริ้วที่ใครหลายคนคงจะทราบเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในแง่การขอพรให้สมความปรารถนา แต่จริงๆ แล้วความเชื่อเรื่องการคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอันตรายก็เป็นที่เลื่องลือเช่นกัน

การบูชาพระเครื่องที่ถูกต้อง บูชาพระตั้งหน้ารถให้ได้ผล

การบูชาพระภายในรถนั้นความจริงพี่กู๊ดค่อนข้างที่จะไม่แนะนำครับ เนื่องจากการจัดวางอาจมีการบังทัศนวิสัยในการขับขี่ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในการขับขี่ แต่ถ้าต้องการที่จะบูชาพระติดรถไว้ พี่กู๊ดก็จะมีข้อแนะนำดีๆ ในการบูชาพระติดรถที่เหมาะสมมาบอกกันครับ

  • ติดตั้งพระที่บูชาด้วยความแข็งแรง ไม่ให้หลุดจากบริเวณหน้ารถได้ง่ายๆ ป้องกันโอกาสสิ่งที่บูชาหล่นมาขัดกับเบรก
  • ไม่ควรบูชาพระมากเกินความจำเป็น หรือมีขนาดใหญ่จนบดบังทัศนวิสัยจนอาจเกิดจุดบอดในการมองเห็น
  • วางในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการรบกวนทัศนวิสัยในการขับขี่

สำหรับอีกวิธีการบูชาที่พี่กู๊ดอยากแนะนำคือ การติดสติ๊กเกอร์ หรือ นำรูปพระที่นับถือมาเก็บในบริเวณที่ไม่บดบังสายตาในขณะขับขี่อย่าง เช่น บริเวณคอนโซล ซึ่งการบูชาแบบนี้ถือได้ว่าเป็นการลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุจากการที่ผู้ขับขี่มองถนนได้ไม่ชัดเจนนั่นเองครับ

พระในรถควรมีกี่องค์

เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล คนที่บูชาพระตั้งหน้ารถไว้เยอะๆ อาจไม่ได้มองว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัยมากขึ้นเช่นนั้นหรอก อาจมองเป็นของสะสมและความชอบส่วนตัว อย่างไรก็ตาม พระไว้หน้ารถมากเกินไป ในหลักฮวงจุ้ยถือว่าเป็นการเสียสมดุล ยิ่งมีเยอะยิ่งส่งผลให้พลังงานฮวงจุ้ยเสียหาย เพราะจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย สร้างความอึดอัดและดูเกะกะ ถึงแม้จะติดกาวหนาแน่นหรือยึดฐานเอาไว้อย่างมั่นคง แต่ก็เสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายหรืออันตรายที่มากขึ้นในกรณีที่จะเกิดอุบัติเหตุใด ๆ จึง ควรมีพระติดรถยนต์อย่างน้อยไม่เกิน 3 ชิ้น และเลือกใช้ตามเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบด้วยเช่นกัน

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ directasia

ความหมายเลขเด็ดจากทะเบียนรถป้ายแดง

ออกรถใหม่เลขที่ควรรู้ไว้เป็นมงคล ทะเบียนรถป้ายแดง

รถยนต์ใหม่ป้ายแดง การออกรถยนต์ใหม่ถือเป็นเรื่องง่ายในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีทั้งสินเชื่อออกรถใหม่ รวมไปถึงการออกรถโดยใช้เงินดาวน์ที่น้อยลงนั่นเอง ทำให้ใครๆก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่ได้ง่ายมากขึ้น เมื่อออกรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเบียนรถยนต์ใหม่ป้ายแดง ที่ต้องเลือกให้เป็นสิริมงคล เสริมดวงในการขับขี่รถของรถนั่นเอง

อีกทั้งเรื่องศาสตร์ตัวเลขกับคนไทยก็เป็นอะไรที่คู่กันมานาน ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีต่าง ที่ล้ำสมัยขนาดไหน ก็ต้องหาฤกษ์ยามในการออกรถ รวมถึงตัวเลขเสริมมงคลจากป้ายทะเบียนรถยนต์นั่นเอง ซึ่งความหมายของตัวเลขนั้นมีทั้งดีและไม่ดีตามความเชื่อ ซึ่งความหมายของตัวเลขแต่ละตัวจะเป็นอะไรบ้างนั้นพี่หมีมีคำตอบมาฝากกันครับ ตามความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ เลข 9, 8 จะถือเป็นตัวเลขที่ดี เพราะเป็นเลขที่มีค่ามากโดย

9 หมายถึง ความก้าวหน้า (สำหรับคนไทยอบ)

8 หมายถึง ทำมาค้าขายดี (สำหรับคนจีนชอบ) 

สำหรับเลขที่ตำราส่วนใหญ่ทั้งเลขศาสตร์และโหราศาสตร์ กล่าวว่าเป็นเลขที่ร้าย คือ 3 – 7 – 0

0 หมายถึง อุบัติเหตุ และความสูญเสีย

3 หมายถึง การทะเลาะเบาะแว้ง

7 หมายถึง ความตกทุกได้ยาก (แต่ก็อาจหมายถึง โชคลาภในบางความเชื่อ)

โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยให้ตัวเลขโชคร้ายเหล่านี้อยู่ติดกัน อีกทั้งทะเบียนที่รวมกันทั้งหมด ที่รวมกันแล้วได้เท่ากับ 13 หรือ 31 เพราะถือเป็นเลขมรณะ และ เลขคู่หน้าและคู่หลังรวมกัน ไม่ควรเป็นเลข 13 เพราะถือว่ามรณะเช่นเดียวกัน

เลขทะเบียนที่ดีควรเป็นลักษณะไหน ?

  • เลขทุกตัวบวกกันแล้วได้จำนวน 5 ขึ้นไป ยิ่งถ้าได้ 9 จะถือว่าดีมาก เช่น 5121 เท่ากับ 9 เป็นต้น
  • เลขคู่หน้าและคู่หลังควรบวกกันแล้วได้ 5 ขึ้นไป ถ้าตก 9 จะดีมากเช่นกัน โดยเฉพาะ 9 หน้า 9 หลัง
  • เลขทุกตัวต้องรวมกันแล้วไม่ได้ 13 เพราะถือเป็นเลขมรณะ เช่น 0094
  • ตัวเลขทั้งหมดไม่ควรถูกคร่อมด้วยเลข 1 เช่น 1221 เพราะเปรียบเหมือนเป็นโลงศพ
  • ตัวเลขคู่กันก็ไม่ควรเป็นเลข 1 ทั้งสองตัว เช่น 1189 เพราะเปรียบเสมือนโลงศพเช่นกัน

ความหมายเลขต่างๆ ตามความเชื่อ ในการออกรถ

1. หมายถึง มีตำแหน่งใหญ่ มีโลกส่วนตัวสูง ชีวิตครอบครัวไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ส่งผลให้ทำเพียงผู้เดียว

2. หมายถึง ผู้หญิง ความสบาย การมีคู่ช่วยเหลือ และนำพาความสะดวกมาให้รถคันนี้มากมาย

3. หมายถึง การเริ่มต้นที่ดีเพราะเป็นเลขพระ บ่งบอกการเริ่มต้นสำเร็จต่างๆ และกำไรต่างๆ (สำหรับความเชื่อจีน) และอาจหมายถึงอุบัติเหตุได้อีกด้วย

4. หมายถึง คดีความ ทะเลาะ มีปัญหา ไม่ดี (ตามความเชื่อจีน)

5. หมายถึง การซ่อมแซม การติดขัดเรื่องเงิน

6. หมายถึง การแสดงถึงคนที่มีผู้คนคอยช่วยเหลือมากมาย จะมีคนให้เงินและมีความเจริญรุ่งเรือง

7. หมายถึง ต้องเสียเงินกับการเดินทาง อุบัติเหตุ

8. หมายถึง ความรุ่งเรือง ความมั่งมี และสมหวังด้านการงานและสุขภาพ สมบูรณ์9. หมายถึง ความสำเร็จนิรันดร ความก้าวหน้า ความสุขต่อไป แคล้วคลาดปลอดภัย

ทริคการเลือกหมายเลขทะเบียนรถ

แปลงค่าหมวดตัวอักษร 2 ตัวด้านหน้า แล้วนำมาบวกกับหมายเลข 4 ตัวหลัง เมื่อได้ผลรวมแล้ว ดูความหมายตามหลักเลขศาสตร์ และควรหลีกเลี่ยงหมวดตัวอักษรกาลกิณีและตัวเลขกาลกิณี แต่หากหลีกเลี่ยงหมวดตัวอักษรกาลกิณี หรือ เลขกาลกิณีไม่ได้ ไม่ควรให้เลขกาลกิณีเป็นเลขตัวสุดท้าย      

สำหรับใครที่กำลังจะออกรถใหม่นั้นสามารถเช็คทะเบียน หรือ ตัวเลขมงคล ได้ก่อนใครในการเตรียมออกรถใหม่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญนอกจากทะเบียนรถมงคล หรือ เลขสวยแล้วนั้นคือการเลือกทำประกันรถยนต์ ที่จะช่วยเหลือรถคุณ หากเกิดอุบัติเหตุ เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ เป็นต้น ซึ่งสามารถปรึกษากรมธรรม์ประกันรถยนต์ต่างๆ กันพี่หมีได้ที่ 1737 นะครับ

แหล่งที่มา: เว็บไซต์ meemodel

วางพระหน้ารถ ตำแหน่งไหน และ หันหน้าไปทางไหน

วิธีตั้งพระหน้ารถ วางพระหน้ารถ วิธีตั้งพระในรถยนต์ พระหน้ารถ หันไปทางไหน ตั้งพระหน้ารถแบบไหนดี พระหน้ารถจะหันหน้าเข้าหรือหันหน้าออก พบคำตอบในบทความนี้

วางพระหน้ารถ หรือ ตั้งพระหน้ารถ เพื่อเคารพบูชากราบไหว้ตาม ความเชื่อของคนไทย เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เดินทางปลอดภัย ควร หันหน้าไปทางไหน หันหน้าเข้าหรือหันหน้าออก แบบไหนถูกต้องมาดูกัน

ความเชื่อ มีอยู่ว่าคนไทยนิยมกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะเชื่อว่าในการเดินทางไปไหนมาไหน ถ้าเรามีความเคารพต่อสิ่งบูชา ท่านอาจจะช่วยเราให้เดินทางปลอดภัย แคล้วคลาด และเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เช่นบางคนก่อนขับรถต้องยกมือ ไหว้แม่ย่านางรถ ก็เพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และแม่ย่านางอาจจะช่วยคุ้มครองให้คนขับรถเดินทางไกลถึงที่หมายโดยปลอดภัย บางคนก็มี เครื่องรางของขลัง พกติดรถยนต์ไว้ บางคนก็นำมา แขวนพระห้อยไว้ที่กระจก มองหลังรถ บางก็ วางพระไว้หน้ารถ หรือ ตั้งพระไว้ในรถ ก็มี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถที่คนนิยมบูชา

1. พระพุทธรูป 

พระพุทธรูป ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนส่วนใหญ่มักจะมีติดรถยนต์ไว้เป็นอันดับแรกที่ออกรถยนต์ใหม่มา เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทั้งยังช่วยปกป้องและคุ้มครองให้เกิดความแคล้วคลอดเดินทางปลอดภัย

2. วัตถุมงคล เครื่องรางของขลังต่างๆ

วัตถุมงคลนอกเหนือจากพระพุทธรูปแล้ว คนส่วนมากก็นิยมนำกุมารทอง ผ้ายันต์ ตามความเชื่อส่วนบุคคลมาไว้ในรถยนต์เพื่อเคารพบูชา

3. แม่ย่านาง

แม่ย่านางรถ คนไทยมีความเชื่อว่าท่านคือเทพเทวดาผู้ปกปักรักษา คุ้มครองยานพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือ รถยนต์ เครื่องบิน คนที่มี ความเชื่อ ส่วนมากมักนิยมนำดอกไม้มาบูชา ผลไม้ หมากพลู พวงมาลัย น้ำดื่ม มาเซ่นไหว้ตามโอกาสเทศกาลต่างๆ เพื่อให้แม่ย่านางช่วยคุ้มครองคนขับรถเครื่องต่างๆ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย

การตั้งบูชาวัตถุมงคลภายในรถ

การตั้งพระหน้ารถ นั้นควร ตั้งพระหันหน้าออกไปทางหน้ารถ หรือทิศทางเดียวกับคนขับ ตามความเชื่อที่ว่าคือเพื่อเป็นการเสริมดวง ให้พระได้เห็นในทิศทางเดียวกับเราเพื่อเป็นการปกป้อง คุ้มครองจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ตามหลักฮวงจุ้ยการตั้งพระหันหน้าเข้ามาในตัวรถอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนรอบตัวได้ และสำหรับใครที่ ตั้งพระหันหน้าเข้ามาในตัวรถ ก็สามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะบางคนอาจรู้สึกสบายใจ มีสติตื่นตัว เป็นเครื่องเตือนใจขณะขับขี่เมื่อได้เห็นด้านหน้าขององค์พร

ข้อควรระวังในการตั้งพระหรือวัตถุมงคลในรถ

1. จัดวางในตำแหน่งที่ปลอดภัย ไม่ควรวางทับตำแหน่ง AIR BAG

2. ไม่ควรมีจำนวนพระมากเกินไป และไม่ควรให้ขนาดพระใหญ่เกินไป 

3. ควรเลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่ควรวางบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่

บทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

แหล่งที่มา: https://www.thainewsonline.co/

ดูแลเครื่องยนต์ให้เป๊ะหลังจากเดินทางไกล !

หลังจากที่ตะลุยเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์มาแล้ว คราวนี้ล่ะถึงเวลาที่เราจะต้องมาดูแลรถสุดที่รักของเรากันบ้าน ว่ามีจุดบอดตรงไหนต้องดูแล ตรงไหนต้องเสริมหล่อเสริมสวยกันบ้าง วันนีเรามีคำตอบมาฝาก

1.ล้อรถ ควรเช็คทั้ง 4 ล้อ เพื่อดูให้แน่ใจว่ามีรอยบาดจากโลหะ หรือ ของมีคมต่างๆ ไหม ถ้ามีต้องรีบเอาเข้าอู่ด่วนเลยนะคะ ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายเอาได้

2.สีรถ คราบสกปรกต่างๆ เราก็ควรตรวจเช็คเช่นกันว่ามีอะไรผิดแปลกไปไหม สีถลอกหรือเปล่า เช่น มูลนก ฝุ่น เขม่า อาจจะทำให้รถเสีย แล้วตรวจดูให้แน่ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อย่างไร

3.เครื่องยนต์ส่วนต่างๆ ตรวจเช็คพวกน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ในห้องเครื่อง เช่น น้ำมันเบรก ว่าปริมาณลดลงไหม เพราะบางคนหยุดยาวที่ผ่านมาขับรถไปเที่ยวขึ้นเขาขึ้นดอย ต้องคอยเหยียบเบรกเกือบตลอดเวลาที่ขับรถเพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล ซึ่งจะทำให้น้ำมันเบรกถูกใช้งานเยอะและอาจลดลงได้

4.น้ำมันเครื่อง ดูว่ายังมีอยู่ในระดับที่พอกับการใช้งานหรือเปล่า ถ้าระดับอยู่ระหว่าง F กับ L แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติดีอยู่

5.น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ก็ควรเช็คว่าอยู่ในขีดที่กำหนดไว้หรือเปล่า หรือมีรอยรั่วซึมตรงไหน

6.น้ำมันเกียร์ ก็สำคัญนะคะ เพราะถ้าระดับน้ำมันเกียร์ต่ำเกินไป การหล่อลื่นก็อาจจะไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการเสียดสีของกลไกภายในเกียร์เพิ่มขึ้นได้

7.น้ำกลั่นแบตเตอรี่ ก็ตรวจเช็คว่ายังมีอยู่เต็มทุกช่องไม่ขาด

8.สายพาน ตรวจดูค่ะว่ามีรอยฉีกขาดตรงไหนหรือเปล่า หม้อน้ำ ให้ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อพักน้ำด้วยว่ายังไม่หมด และควรทำในขณะที่เครื่องเย็นอยู่ สุดท้ายตรวจเช็คบริเวณใต้กระโปรงหน้ารถ ว่ามีรอยหยดของน้ำมันต่างๆ หรือเปล่า ถ้ามีแสดงว่าอุปกรณ์ในห้องเครื่องของรถคุณกำลังมีปัญหา ให้รีบเอาเข้าอู่เพื่อเช็คอย่างละเอียดอีกที

9.ระบบช่วงล่าง สามารถเช็คเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองก่อนค่ะ เช่น ลูกหมากปีกนกบน-ล่าง และลูกหมากปลายแร็ค วิธีการเช็คคือ โยกล้อ ด้วยแม่แรงที่ติดมากับรถอยู่แล้ว ปรับความสูงของล้อให้อยู่ในแนวขนานกับอก จากนั้นให้ผลักและดึงล้อ วิธีนี้จะช่วยตรวจสภาพของลูกหมากได้ว่าหลวมหรือไม่

10.โช้คอัพ ทั้งข้างหน้าและข้างหลังของรถ ให้ตรวจดูว่ามีรอยรั่วของน้ำมันออกมาไหม

11.กระจกรถ การทำความสะอาดก็เหมือนที่ทำเป็นประจำ คือใช้น้ำเปล่าล้างเอาฝุ่นที่เกาะออกก่อน แล้วตามด้วยใช้น้ำยาเช็ดกระจกทำความสะอาดซ้ำอีกครั้ง และล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ จากนั้นใช้ผ้าแห้งนุ่มๆ เช็ดกระจกให้แห้ง อย่าให้มีรอยคราบน้ำ หรืออาจจะเคลือบสารป้องกันฝ้าหรือน้ำฝนบนกระจกตามก็ได้

12.เบาะนั่ง ต้องดูว่าวัสดุที่หุ้มเบาะเป็นชนิดไหน ถ้าเป็น เบาะหนังแท้ ตามปกติอาจแค่ใช้ผ้าเช็ดฝุ่นออก แต่หลังจากขับรถไปเที่ยวมาหลายวัน ต้องเจอฝุ่น ควัน ก็ควรที่จะใช้เครื่องดูดฝุ่นช่วยดูดฝุ่นที่เกาะอยู่บนเบาะ หรือฝุ่นตามซอกเบาะรถออกให้เรียบร้อย แล้วในการเช็ดทำความสะอาด จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับหนังโดยเฉพาะจะดีกว่า ส่วน เบาะหนังเทียมหรือไวนิล การทำความสะอาดไม่ยุ่งยาก เพราะมีความทนทาน แต่ก็ควรดูแลบ้าง ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดๆ แล้วนำไปเช็ดให้ทั่วทั้งเบาะ แต่จะให้ดีควรใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาเศษฝุ่น เศษทราย ตามซอก รอยพับ ออกด้วย ส่วนเบาะผ้า หากมีคราบสกปรกจากที่เครื่องดื่ม อาหาร หล่นใส่ ควรรีบทำความสะอาดให้เร็วที่สุด เพราะปล่อยทิ้งไว้จะฝังแน่น ยากต่อการทำความสะอาด โดยมีวิธีการคือ ให้ใช้น้ำอุ่นและน้ำยาทำความสะอาดขจัดรอยเปื้อน หลังจากนั้นควรแปรงผ้าอีกครั้งเพื่อรักษาสภาพของเบาะเพื่อยืดอายุการใช้งาน

13.ผ้าบุหลังคา คราบต่างๆ ให้ทำความสะอาดด้วยการใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ดคราบออกให้สะอาด ถ้าหากมีฝุ่นเกาะก็อาจจะใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือแปรงไฟฟ้าสถิตที่สามารถดูดฝุ่นละอองได้

14.พื้นรถ เช็คให้เรียบร้อยค่ะว่าไม่มีเศษขยะหล่นอยู่ที่พื้น หรืออยู่ใต้เบาะนั่ง เพราะบางทีอาจลืม ถุงขนม อาหาร ทิ้งไว้ พอบูดก็ส่งผลให้รถมีกลิ่นเหม็นได้ เพื่อให้พื้นรถสะอาดยิ่งขึ้น ควรนำเครื่องดูดฝุ่นมาดูดเอาพวกเศษดิน เศษทราย ออกให้เรียบร้อย

หลังจากที่เราได้รู้วิธีการดูแลรถกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลกันแล้วล่ะว่าเป็นอย่างไร ใครที่มีวิธีดีๆ อะไรจะแนะนำก็บอกกันมาได้เลยจ้ะ ไม่มีหวงกันอยู่แล้ว วันนี้ขอลาไปก่อนรอติดตามคอนเทนต์ใหม่กันได้เลยจ๊ะ สวัสดีจ้า

แหล่งที่มา: https://chobrod.com/

วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น เมื่อขับๆไป แล้วรถดับ!!

หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อรถที่เราขับๆมาอยู่ดีๆดันมาดับกลางทางซะได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลย คือ ตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ เพราะมันก็คืออุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะต้องทำความเข้าใจสักหน่อยว่าถ้าเกิดรถเจ้ากรรมดันดับกลางทางระหว่างที่ขับๆอยู่นั่นแหละ ควรจะปฏิบัติดังนี้

1.ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดานั้น ให้เหยียบคลัชท์ค้างเอาไว้ก่อน แล้วค่อยๆแตะเบรก พยายามประคองรถเพื่อเข้าข้างทางหรือพื้นที่ปลอดภัยแต่ถ้าหากเป็นรถเกียร์ออโต้นั้น ให้ปรับมาอยู่ที่เกียร์ N เพื่อปลดเฟืองเกียร์ ไม่ให้เกียร์พัง ก่อนจะประคองรถเข้าข้างทาง

2.เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ที่ขับรถคนอื่นทราบว่ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินในรถเรา และจะได้ระวังเป็นพิเศษ ก่อนจะหาทางเบี่ยงออกเพื่อไปจอดข้างทาง และเมื่อสามารถนำรถเข้าที่ปลอดภัยได้แล้วให้ลองสตาร์ทรถใหม่ ถ้าสตาร์ทติดก็ถือว่าโชคดี สามารถเดินทางต่อได้

3.หากรถดับและยังไม่สามารถสตาร์ทติด ให้ลองเปิดฝากระโปรงรถ เพื่อเช็คว่าขั้วของแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้วนั้น ยังต่อแน่นดีอยู่ไหม หรือเช็คคอยล์หัวเทียนว่ายังแน่นอยู่ไหม โดยอาจจะลองขยับดูแล้วลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง

4.ถ้าหากว่าไม่สามารถสตาร์ทรถได้เลย แม้จะลองทำตามวิธีเบื้องต้นแล้ว ให้ลองเข็นเพื่อสตาร์ทสำหรับรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา (แต่สำหรับรถเกียร์ออโต้ จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้)

5.หากหาทางไม่ได้แล้วจริงๆ ให้โทรหาบริการรถยก เพื่อไปให้ช่างเช็คที่อู่หรือศูนย์ให้ละเอียด หาสาเหตุที่แน่ชัด หาทางแก้ไขต่อไป ไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้อีก และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเสียโอกาสเราอีกด้วย

แหล่งที่มา: https://chobrod.com/

check-credit