เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

บก.จร.เตรียมจำกัดความเร็วเขตชุมชนจากเดิม 80 เหลือ 50 กม/ชม.

บก.จร.เตรียมจำกัดความเร็วเขตชุมชนจากเดิม 80 เหลือ 50 กม/ชม.

     กองบังคับการตำรวจจราจรเตรียมออกมาตรการจำกัดความเร็วในเขตชุมชนจากเดิม 80 กม./ชม. เหลือ 50 กม./ชม. เพื่อให้เกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด

     พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ สุริวงศ์ รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจจราจร ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มี 3 ส่วนหลักด้วยกัน ได้แก่ 1.คน 2.รถ สภาพถนน และ 3.สภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจัยที่เกิดจากตัวบุคคล เช่น เมาแล้วขับ, ขับรถเร็ว ฯลฯ เกิดขึ้นสูงถึง 76% โดยพฤติกรรมการขับรถเร็วกลายเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดอุบัติเหตุจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ขณะที่ปัจจัยจากสภาพถนนเกิดขึ้น 23% และสภาพแวดล้อม 1% โดยมีนโยบายต้องลดให้ได้ 50% ภายในปี 2563 ที่จะถึงนี้

ดังนั้น การจำกัดความเร็วในพื้นที่เสี่ยง เช่น เขตชุมชน, หน้าโรงเรียน ฯลฯ จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ต้องเร่งรัดนำมาใช้ โดยออกข้อบังคับเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ซึ่งอาจจะพิจารณาลดความเร็วในพื้นที่ชุมชนจากเดิม 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด

     ปัจจุบันมีการจำกัดความเร็วสำหรับรถยนต์ 4 ล้อ ในเขตกทม./เทศบาล/พัทยา ไม่เกิน 80 กม./ชม. ทางด่วนไม่เกิน 80-90 กม./ชม. ทางหลวงไม่เกิน 90 กม./ชม. และมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 120 กม./ชม. หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท

cr. https://auto.sanook.com/61365/

แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว สาเหตุเกิดจากอะไร?

แบตเตอรี่รถยนต์ ถือเป็นอะไหล่สิ้นเปลืองอีกชิ้นหนึ่งที่มีความจำเป็น และสำคัญมากๆ ต่อระบบรถยนต์ เพราะหากไม่มีแบตเตอรี่ รถของคุณก็จะสตาร์ทไม่ติด ไปไหนไม่ได้ แถมระบบไฟต่างๆ ก็ไม่สามารถทำงานได้อีกด้วย

สำหรับตัวแบตเตอรี่เองก็เหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆ เมื่อใช้งานไปแล้วก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพลง แต่หากคุณสามารถชะลอ หรือยืดอายุการใช้งานได้ มันก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คุณสามารถทำได้ หากอยากให้แบตเตอรี่อยู่กับรถคุณไปนานๆ แค่ทำตามนี้

 1. ใส่ขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อทำให้การจ่ายไฟมีประสิทธิภาพเต็มที่ เพราะหากขันขั้วแบตฯ ไม่แน่นพอ การจ่ายไฟก็จะมีปัญหา และทำให้แบตฯ เสื่อมเร็วขึ้น

     2. ตรวจดูระดับน้ำกลั่นเป็นประจำ สำหรับรถที่ใช้แบตเตอรี่แบบเปียกที่ต้องเติมน้ำกลั่น ให้เช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าไม่อยากตรวจดูบ่อยๆ แนะนำให้ใช้แบตเตอรี่แบบแห้งไปเลย เพื่อตัดปัญหา

     3. ตรวจสภาพตัวแบตเตอรี่ หากตัวแบตฯ มีรอยผิดปกติ แตก หรือร้าว มันจะส่งผลให้น้ำกลั่นที่อยู่ภายใน ไหลออกมาทำลายชิ้นส่วนอื่นๆ และยังทำให้เก็บประจุไฟฟ้าไม่ได้อีกด้วย

     4. ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ เนื่องจากแบตฯ ที่ผ่านการใช้งานมาสักระยะ จะเกิดคราบขี้เกลือ เกาะติดที่ขั้ว จึงทำให้กระแสไฟฟ้าจากแบตฯ ไหลผ่านต่อไปยังส่วนอื่นๆ ไม่สะดวก ให้แก้ไขด้วยการนำน้ำโซดา หรือน้ำร้อนราดลงไปที่ขั้ว จากนั้นใช้แปรงสีฟันเก่าขัดคราบขี้เกลือออกให้หมด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง

     5. ตรวจสอบระบบไฟชาร์จ หากระบบไฟชาร์จสูงเกินไป จะทำให้น้ำกลั่นระเหยเร็วขึ้น แต่ถ้าระบบไฟชาร์จต่ำเกินไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ สตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดนั่นเอง

     แม้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะใช้ได้ 1.5 – 2 ปี แต่ก็มีบ้างที่แบตฯ จะเสื่อมเร็ว หรือเสื่อมช้ากว่าปกติ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน แต่ถ้าคุณหมั่นตรวจสอบบ่อยๆ ดูแลรักษาอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และอยู่คู่กับรถของคุณไปอีกนาน

cr. https://auto.sanook.com/61335/

สนับสนุนเนื้อหา

ของจริง! Honda Civic 2017 ตัวถังสีแดงก่อนเข้าไทยเดือน พ.ย.นี้

Honda Civic 2017 ตัวถังสีแดงถูกจัดแสดงที่บูธฮอนด้าในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2017 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนนำเข้ามาขายจริงในไทยปลายปีนี้

ปัจจุบัน Honda Civic 2017 เวอร์ชั่นซีดานในบ้านเรา มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สี ซึ่งล้วนแต่เป็นสีเรียบๆ อย่างเช่น สีเงิน Lunar Silver Metallic, สีน้ำเงิน Cosmic Blue M และสีเทา Modern Steel Metallic เป็นต้น ล่าสุด ฮอนด้าประเทศไทยเตรียมนำสีแดง Rallye Red เข้ามาจำหน่ายในตัวถังซีดานด้วยเช่นกัน โดยมีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2017

Honda Civic 2017 (หรือ Honda Civic Sedan ในตลาดญี่ปุ่น) มีให้เลือกทั้งเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC TURBO พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถเลือกติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นอุปกรณ์เสริมได้ ซึ่งประกอบด้วยระบบป้องกันการชนด้านหน้า, ระบบช่วยประคองพวงมาลัย, ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ, ระบบช่วยป้องกันรถตกถนน, ระบบไฟหน้าปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ และระบบอ่านป้ายจราจร

Advertisement Replay Ad

ขณะที่ดีไซน์ภายนอกของ Civic Sedan เวอร์ชั่นญี่ปุ่นถูกติดตั้งไฟหน้าแบบ LED พร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายเดียวกับรุ่น 1.8EL ในบ้านเรา ติดตั้งสปอยเลอร์ขนาดเล็กบนฝากระโปรงท้าย ซึ่งคันที่ปรากฏในภาพนี้เป็นตัวถังสีแดง Premium Crystal Red ซึ่งมีความใกล้เคียงกับสีแดง Rallye Red ที่จะเข้ามาจำหน่ายในไทยปลายปีนี้

ส่วนบ้านเราต้องอดใจรออีกนิด

cr. http://auto.sanook.com/60837/

สนับสนุนเนื้อหา

5 เทคนิคใช้ กล้องติดรถยนต์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

สมัยนี้กล้องติดรถยนต์ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จะเป็นเครื่องยืนยันความถูก-ผิดให้กับเจ้าของรถได้ แต่กล้องหลายรุ่นยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อการใช้งาน เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง?

1.ตั้งหน่วงเวลาปิด
กล้องติดรถยนต์หลายรุ่นสามารถตั้งหน่วงเวลาปิดเครื่องได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะแม้ว่ารถจะตัดไฟชั่วคราวขณะบิดกุญแจสตาร์ท แต่ตัวกล้องจะยังคงสามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ขาดจังหวะ

2.ตั้งปิดหน้าจอไม่แยงสายตา
การตั้งปิดหน้าจอขณะขับขี่จะช่วยให้แสงจากหน้าจอไม่แยงสายตาได้โดยเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งหลายรุ่นแม้ว่าหน้าจอจะดับลง แต่ยังมีสัญญาณไฟเพื่อแจ้งว่ากล้องกำลังทำงานอยู่


3.ตั้งเวลาแบ่งไฟล์วีดีโอ
กล้องติดรถยนต์สามารถบันทึกเหตุการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งความยาววีดีโอออกเป็นไฟล์ย่อยๆ สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 1-10 นาที (แล้วแต่ยี่ห้อ/รุ่น) ยิ่งความยาววีดีโอสั้นมากเท่าไหร่ จะช่วยให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงและสะดวกต่อการโอนย้าย แต่ก็จะสูญเสียความต่อเนื่องของวีดีโอไป


4.ใช้ปุ่มบันทึกฉุกเฉินเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เนื่องจากกล้องติดรถยนต์จะบันทึกวีดีโอในลักษณะลูป คือทันทีที่เมมโมรี่เต็ม กล้องจะกลับไปลบไฟล์แรกสุดออก แล้วบันทึกของใหม่ลงไปแทน ดังนั้น กล้องติดรถยนต์ส่วนมากจะมีปุ่มพิเศษสำหรับล็อกไฟล์สำคัญ ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุให้กดปุ่มฉุกเฉินดังกล่าว ตัวกล้องจะล็อคไฟล์ที่กำลังบันทึกอยู่ไม่ให้ถูกลบ สามารถเรียกดูย้อนหลังได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวไฟล์หาย


5.เลือกความคมชัดสูงที่สุด
ควรเลือกความละเอียดของไฟล์วีดีโอสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าไฟล์จะมีขนาดใหญ่ แต่ไฟล์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ ทางที่ดีควรเลือกใช้เมมโมรี่ที่มีความจุสูง จะช่วยให้บันทึกเหตุการณ์ได้นานยิ่งขึ้น

อย่าลืมไปลองทำกันดูนะค้าาา

cr. http://auto.sanook.com/60321/

หายสงสัยทำไมรถอับ!? 5 จุดภายในรถที่ถูกเมินและลืมทำความสะอาดมากที่สุด

รถยนต์เท่ห์ๆ ถือเป็นความภูมิใจอย่างนึงของหนุ่มๆ อย่างเรา ดูแลขัดสีฉวีวรรณให้เงาแว๊บ ปิ๊งปั๊ง ขับโฉบไปมาสาวๆ หนุ่มๆ พากันเหลียวหลังมอง แต่คุณรู้มั้ย?? มีบางจุดที่ถูกเมิน ไม่ใส่ใจและไม่ทำความสะอาดมันบ้างเลย ไม่ได้การณ์หละ แบบนี้เดี๋ยวสาวๆ จะหาว่าสวยแต่รูป จูบไม่หอม ไหนๆ จะทำให้รถเงาวิ๊ง ก็ต้องหันมาทำความสะอาดมันทุกซอกทุกมุมกันหน่อยหละนะ ไปดูๆ 5 จุดที่หลายๆ คนชอบเมินไม่ยอมทำความสะอาดจะมีจุดไหนกันบ้าง ดูแล้วสุดสัปดาห์นี้ก้ออย่าลืมดูแลกันน้าาาา

1.พรม

ใช่แว้วว อ่านไม่ผิดฮะ พรมนี่แหละที่หลายๆ คนมองข้าม บางคนอาจจะเถียงว่าล้างรถทุกครั้งก้อทำความสะอาดพรมนะ แต่คุณรู้มั้ย ส่วนพื้นใต้พรมหละทำความสะอาดกันรึเปล่า เอิ่ม!! จริงด้วยเนอะ ใต้พรมนี่แหละตัวเก็บฝุ่นและกลิ่นอับอย่างดีเลยทีเดียว วันไหนฤกษ์งามยามดี แวะไปให้ร้านรับทำความสะอาดพรมแบบมืออาชีพดูแลกันบ้าง 3 เดือนครั้งก้อยังดีนะฮะ เพื่อความสะอาดและสุขภาพของผู้ขับขี่เอง จะได้ไม่ต้องสูดฝุ่นเข้าปอดกันโน๊ะ

2. ที่เก็บของท้ายรถ

ถึงแม้ตรงนี้จะไม่มีคนนั่งก็เถอะนะ แต่เราๆ ก็มักจะขนนั่นขนนี้ใส่ท้ายรถตลอดไม่ใช่เหรอ รองเท้า, อุปกรณ์กีฬา, ของกินของใช้ต่างๆ นั่นแหละตัวการทำร้ายรถอย่างนึงเลย ลองนึกดู… คุณทำความสะอาดท้ายรถครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เคยเปิดมันออกมาดูแลจริงจังมั้ย T_T  พรมปูท้ายรถมันถูกออกแบบมาให้ยกทำความสะอาดได้ง่ายสุดๆ อ้อ แต่อย่าลืมเช็ดคราบต่างๆ ใต้ฝายางสำรองที่อยู่ข้างใต้ด้วยหละ เพื่อความสะอาดเอี่ยมอ่องในทุกๆ จุด

3. ผ้าใต้หลังคารถ

มั่นใจเลยว่าร้อยละ 90 ไม่เคยทำความสะอาดผ้าใต้หลังคาเลย คุณรู้ไหม…พื้นที่ตรงนี้เป็นตัดดักกลิ่นควันบุหรี่,กลิ่นอาหารได้ดีเลยทีเดียว คงไม่ดีแน่ๆ ถ้ารถสวยๆ มีกลิ่นอับหรือคราบสกปรก แต่หลายๆ คนมักจะมองข้ามมันไป แค่เอื้อมมือไปเช็ดมันหน่อยคงไม่เสียเวลาหรอกเนอะ เพียงใช้ผ้านุ่มๆ กับ Turtle wax เช็ดออก แค่นี้ก็หมดกลิ่นกวนใจ แถมยังได้รถสวยๆ หอมๆ กลับมาอีก

4. ที่วางแก้ว

หลายคนแอบคิดว่า โอ๊ยย จะต้องเช็ดมันไปทำไม เดี๋ยวก้อวางแก้วน้ำทับมันไปหละ แต่ๆ คุณคิดผิดนะ คราบน้ำคราบเหนียวๆ จากน้ำหวานนี่แหละตัวดี พอแห้งแล้วมันเป็นคราบเหนียวหนึบหนับทำความสะอาดยากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าขี้เกียจเลยนะฮะ มันทำความสะอาดง่ายม๊าก..มาก แค่ยกแผ่นยางรองมาล้างๆ เช็ดคราบภายในนิดหน่อย แค่เนี่ยมันก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ แถมไม่มีคราบอะไรมาให้หงุดหงิดใจด้วย

5. เบาะ

เชื่อเลยว่าบางจุดคุณเมินมันไปแน่นอน ตะเข็บเล็กๆ ระหว่างเบาะและพื้นที่รอยต่อพนักพิงกับเบาะนั่ง นั่นแหละแหล่งสะสมคราบและเศษอาหารอย่างดีทีเดียว ว่างๆ ดูดฝุ่นตามรอยตะเข็บหรือใช้แปรงปัดคราบและเศษอาหารออกกันบ้างเนอะๆ จะได้สะอาดหมดจด ไร้คราบ ทุกๆ จุดกันไปเลย

      เห็นไหมหละฮะ บางจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราปล่อยละเลยกันไป มันอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคดีๆ เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้วคงต้องหาเวลาทำความสะอาดรถกันครั้งใหญ่ จะได้สะอาดเอี่ยม ไร้คราบ ไร้เชื้อโรค ขับผ่านใครๆ ก็เหลียวหลัง ใครมานั่งรถก็สูดอากาศสดชื่น ไม่ต้องทนสูดกลิ่นอับและเชื้อโรคเข้าปอด แหม่ๆ เห็นไหมว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัวแหนะ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : Pepperrr – Nattaprang Wasbunjuang

cr. http://auto.sanook.com/59515/

Mercedes-Benz X-Class 2017 กระบะเบนซ์เปิดตัวอย่างเป็นการแล้ว

Mercedes-Benz X-Class 2017 ใหม่ล่าสุด ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก เปี่ยมดีไซน์หรูควบคู่กับความบึกบึน

หลังจากที่มีทีเซอร์และภาพสปายช็อตของ ‘กระบะเบนซ์‘ มาก่อนหน้านี้ ล่าสุด Mercedes-Benz X-Class 2017 ใหม่ ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยพัฒนาร่วมกันระหว่างเมอเซเดส-เบนซ์ และ Renault-Nissan Alliance โดยใช้แพล็ตฟอร์มเดียวกับ Nissan Navara ในปัจจุบัน และ Renault Alaskan ที่จะวางจำหน่ายในอนาคต

แม้ว่าตัวถังด้านข้างจะมีเหลี่ยมสันคล้ายคลึงกับกระบะ Nissan Navara แต่ดีไซน์ด้านหน้ามีความเป็นเบนซ์อยู่เต็มเปี่ยม ด้วนไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์เอกลักษณ์ของเมอเซเดส-เบนซ์ ติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งกันชนด้วยสีดำเพิ่มความบึกบึน ติดตั้งราวหลังคาสีเงินพร้อมบันไดข้าง สปอร์ตบาร์พร้อมไฟเบรกบนกระบะท้าย พร้อมไฟท้ายทรงตั้งดีไซน์เรียวบาง ติดตั้งกันชนท้ายมาให้ในตัว

X-Class 2017 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย X-Class Pure ที่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ ตามด้วย X-Class Progressive สำหรับการใช้งานทั่วไป และ X-Class Power สำหรับการใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์ ซึ่งแต่ละรุ่นมีการตกแต่งภายนอกและภายในแตกต่างกันออกไปตามกลุ่มลูกค้า

ภายในห้องโดยสารถูกติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้านดีไซน์คุ้นตา ติดตั้งหน้าจอระบบอินโฟเทนเม้นท์ขนาด 8.4 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมระบบ COMAND บริเวณคอนโซลกลางระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า ติดตั้งช่องแอร์ทรงกลม พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ซึ่งการตกแต่งภายในอาจดูไม่หรูหราเท่ากับรถตระกูลซีดานและเอสยูวีของค่าย แต่ก็ถือว่าพรีเมียมเอาการหากมองว่านี่คือรถกระบะที่สามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ได้

Mercedes-Benz X-Class 2017 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกทั้งหมด 2 เกรด เริ่มต้นด้วยรุ่น X220d ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และรุ่น X250d ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Biturbo ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า โดยในอนาคตจะเพิ่มเครื่องยนต์ 165 แรงม้า ในรุ่น X200 และเครื่องยนต์ดีเซล V6 ในรุ่น X350d ที่ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร

เมอเซเดส-เบนซ์ ระบุว่า X-Class สามารถรองรับน้ำหนักการบรรทุกได้ถึง 1.2 ตัน และสามารถลากจูงน้ำหนักพ่วงได้ราว 3.8 ตัน พร้อมความสูงจากพื้นถนน 202 มิลลิเมตร ที่สามารถเพิ่มเป็น 222 มิลลิเมตร ด้วยช่วงล่างแบบออฟโรดที่ต้องสั่งเป็นอ็อพชั่นเสริม

ทั้งนี้ Mercedes-Benz X-Class 2017 จะเริ่มวางจำหน่ายในเยอรมันและยุโรปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 37,294 ยูโร หรือราว 1.45 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับ C-Class Coupe ที่มีราคาเริ่มต้น 36,022 ยูโร หรือราว 1.4 ล้านบาทในเยอรมนี

credit: auto.sanook.com/59453/

Kaidee ชี้ Toyota-Honda นำโด่งรถขนาดเล็ก 5 อันดับแรกที่ถูกค้นหามากที่สุด

Kaidee (ขายดี) แหล่งซื้อ-ขายของมือสองออนไลน์เผย Toyota และ Honda เป็นสองแบรนด์ยอดนิยมที่คนมองหารถมือสองที่มีเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซีค้นหามากที่สุด

รถยนต์ขุมพลังต่ำกว่า 1.5 ลิตร หรือ 1,500 ซีซีเป็นหนึ่งในเซกเมนท์ที่มียอดขายสูงมายาวนานหลายปี กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมักเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน มองหารถคันแรกที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุมและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่สูงมากนัก แน่นอนว่าแบรนด์รถยนต์ที่มีความแข็งแกร่งอย่าง Toyota และ Honda มักดึงดูดใจลูกค้าทั้งมือหนึ่งและมือสองได้มากกว่าด้วยความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมายาวนาน

จากการเก็บสถิติบนแพลตฟอร์มในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ Kaidee พบว่ารถเครื่องยนต์ขนาดเล็กหรือต่ำกว่า 1,500 ซีซีที่ถูกค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก มีดังนี้

5. Toyota Soluna (โตโยต้า โซลูน่า)

ถึงแม้จะมีอายุอานามค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีซื้อ-ขายในตลาดมือสองกันพอสมควร ด้วยคุณสมบัติที่นักเลงรถมือสองชื่นชอบ ทั้งอะไหล่หาง่าย ไม่จุกจิก และประหยัดน้ำมันพอตัว แถมยังมีค่าตัวที่ไม่สูงมากนักด้วย

4. Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส)

ราคาจำหน่ายป้ายแดงทะลุหลัก 1 ล้านบาท ส่วนมือสองมีค่าตัวอยู่ในย่าน 8 แสนบาทเศษ Ford Focus เครื่องยนต์อีโคบูสต์ (EcoBoost) พ่วงเทอร์โบ ความจุ 1.5 ลิตรเป็นรถที่หลายคนชื่นชอบเพราะดีไซน์ที่หล่อเหลาสะดุดตาและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมสไตล์รถอเมริกัน

3. Honda City (ฮอนด้า ซิตี้)

ที่สุดแห่งรถยอดนิยมที่เชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยนั่งในโฉมใดโฉมหนึ่งเป็นแน่ City อยู่คู่ตลาดเมืองไทยมายาวนานกว่า 20 ปี มีหลากหลายระดับราคามือสองให้เลือกสรรตามปีที่ผลิต เรียกว่าเป็นรถที่ซื้อง่ายขายคล่องอย่างแท้จริง

2. Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ส)

อีกหนึ่งรถที่คนหนุ่มสาวชื่นชอบใช้งาน เพราะรูปทรงที่ดูอ่อนวัยกว่าซิตี้ และบรรทุกสัมภาระได้มากกว่าโดยแจ๊สได้ชื่อว่าเป็นรถที่มีความกว้างขวางที่สุดในระดับเดียวกันจึงรองรับการใช้งานอย่างอเนกประสงค์ ราคาค่าตัวก็พอคบหาได้อย่างไม่ยากเย็น

1. Toyota Vios (โตโยต้า วิออส)

สุดยอดรถซีดานขนาดเล็กขวัญใจคนไทยที่นิยมใช้กันตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาไปจนถึงคนทำงานและคนสูงอายุ โดดเด่นด้วยชื่อชั้นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การดูแลรักษาง่ายดาย อะไหล่หาง่ายและไม่แพง แถมยังเป็นหนึ่งในรถยอดนิยมตลอดกาลในตลาดรถมือสองเมืองไทยอีกด้วย

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : Kaidee

สนับสนุนเนื้อหา

cr. http://auto.sanook.com/58523

5 สิ่งที่ต้องเช็คทันทีก่อนเข้าหน้าฝน

ช่วงนี้ใกล้ฤดูฝนเข้ามาทุกทีแล้ว สิ่งที่เจ้าของรถจะต้องไม่ลืม คือ ความพร้อมของรถยนต์เพื่อขับขี่ท่ามกลางสายฝน เพราะถนนที่เปียกลื่นถือเป็นปัจจัยสำคัญของอุบัติเหตุช่วงหน้าฝน

1.ใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝนมีความสำคัญมาเป็นอันดับ 1 ในช่วงฤดูฝน เพราะทัศนวิสัยที่ย่ำแย่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นหลายเท่าตัว หากพบว่าใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ปัดไม่เกลี้ยง ก็ควรรีบเปลี่ยนทันที ค่าใช้จ่ายก็เพียงไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักพันต้นๆเท่านั้น แถมยังเปลี่ยนเองได้ไม่ต้องง้อช่างอีกด้วย

2.ยางรถยนต์

ยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะยางที่ดอกโล้น จะทำให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลง ส่งผลให้รถเสียหลักได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเจอแอ่งน้ำในขณะที่ใช้ความเร็วสูง หากตรวจเช็คสภาพยางแล้วพบว่าดอกยางมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็ควรรีบเปลี่ยนทันที ซึ่งปัจจุบันมีโปรโมชั่นยางรถยนต์มากมายให้ใช้บริการ ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่าย แม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นยางที่มีราคาถูก แต่ก็ยังปลอดภัยกว่ายางที่ดอกโล้นเป็นไหนๆ

3.ระบบไฟส่องสว่าง

ควรเช็คระบบไฟส่องสว่างทุกจุดรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ไฟท้าย, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟตัดหมอก ฯลฯ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามองเห็นถนนได้ดีขึ้นยามฝนตกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นเราได้ง่าย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลงได้อีกเยอะ และควรใช้สัญญาณไฟให้เหมาะสมทุกครั้งที่ฝนตกด้วย

4.น้ำฉีดกระจก/ไฟหน้า

อย่าลืมเช็คระดับน้ำหม้อพักสำหรับฉีดกระจกบานหน้าและหลัง (ถ้ามี) ให้เต็มอยู่เสมอ เพราะบางคนอาจไม่เคยเปิดใช้งานเลยในช่วงหน้าร้อน ทำให้ปล่อยปละละเลยในการเติมน้ำเป็นประจำ ซึ่งน้ำฉีดกระจกจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเจอน้ำสกปรก, น้ำโคลน หรือฝ้าขึ้น เป็นต้น

5.เช็คระบบเบรกและ ABS

ระบบเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะการเบรกแบบฉุกเฉินจะใช้ระยะเบรกบนถนนเปียกมากกว่าถนนแห้ง การดูแลระบบเบรกให้สมบูรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุลงได้ หากเริ่มมีเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ ออกมาทุกครั้งที่เหยียบเบรกแล้วล่ะก็ แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้ว

อีกทั้งยังควรเช็คระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS – Anti-lock Brake System) แม้จะไม่มีสัญญาณเตือนบนหน้าปัดก็ตาม โดยการหาที่โล่งๆ ใช้ความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. ลองเหยียบเบรกแบบเต็มกำลัง หากมีเสียงครืดๆ เป็นจังหวะ และรู้สึกถึงอาการสั่นที่แป้นเบรก แสดงว่าระบบ ABS ยังคงทำงานอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเหยียบแล้วล้อเกิดล็อคตายจนทำให้มีเสียงยางบดถนนดัง ‘เอี๊ยด’ ยาวๆ แสดงว่าระบบเอบีเอสมีปัญหาแล้ว

     สิ่งเหล่านี้ถือเป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ควรเช็คเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม แต่เมื่อเข้าฤดูฝนก็ควรใส่ใจตรวจเช็คเป็นพิเศษ หากมีชิ้นส่วนใดต้องเปลี่ยนก็ควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าซ่อมรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆครับ

สนับสนุนเนื้อหา

cr. http://auto.sanook.com/58521

ตรวจแถว Eco Car มือสองยอดนิยมที่ควรเก็บ…..หลุดจากรถคันแรก

งานนี้ รถยนต์ที่เข้าข่ายโครงการฯ มีตั้งแต่ กลุ่มรถซับคอมแพ็ค (Sub Compact) กลุ่มรถกระบะ (Pickup) และกลุ่มรถน้องใหม่ ที่มาเปิดตลาดได้ไม่นานคือ กลุ่มรถยนต์ประหหยัดพลังงาน (Eco Car) ก่อกำเนิดยานยนต์จากหลายค่ายออกอาละวาดสู่ท้องถนนเมืองไทยทั้งในรูปแบบซีดานและแฮทช์แบค 5 ประตู

และด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งความคล่องตัวในการใช้งานในเมือง ความสะดวกสบาย รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองที่สามารถทำได้ ในระดับหนึ่ง ล้วนเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้รถต่างเลือกซื้อ Eco Car มาไว้ใช้ไม่ว่าจะเป็นคันที่สอง หรือสาม มาจอดไว้ในโรงรถ เป็นต้น โดยทีมงาน Autodeft ได้รวบรวมเหล่ารถ Eco Car มือสองที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถมากที่สุด 5 รุ่นด้วยกันโดยเป็นรุ่นรถที่อยู่ในโครงการรถคันแรกตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ปี 2554 ถึง 31 ธันวาคม ปี 2555 ดังนี้

1. Nissan March Eco Car รุ่นแรกของเมืองไทย

ยานยนต์ Eco Car จากค่ายเพื่อนที่แสนดี ขอประเดิมลงตลาดครั้งแรกจนสร้างยอดจองมหาศาลกว่า 5,000 คันหลังเปิดตัวเพียง 2 สัปดาห์ ในร่าง Hatchback 5 ประตูพร้อมความโดดเด่นในรูปลักษณ์อ้วนป้อมมีเสน่ห์เสริมความเด่นออฟชั่นที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็น ปุ่ม Push Start พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบพับ 60 : 40 กับความอัจฉริยะของระบบเกียรอัตโนมัติ Xtronic CVT กับเกียร์ธรรมดา ผสานขุมพลังจอมประหยัดจากเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตรที่ให้ความประหยัดน้ำมันสูงสุด 20 กม./ลิตร

ทำให้ Nissan March กลายเป็นรถ Hatchback เล็กที่ถามถึงกันมาก ด้วยราคามือสองตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน เริ่มที่ 195,000 – 359,000 บาท ตามสภาพและปีของตัวรถ

2. Nissan Almera Eco Car ซีดานรุ่นแรกของเมืองไทย

หลังทำตลาด Nissan March เพียง 1 ปี ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งคู่หูออกตลาดในร่างซีดาน4 ประตู กับจุดแข็งเน้นความเรื่องความสบายที่มากขึ้นด้วยภายในที่กว้างขวางนั่งสบาย ดุจรถยนต์นั่งระดับคอมแพ็คจนถึงขนาดกลางพร้อมขุมพลังยกชุดจาก March ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 3 สูบ 79 แรงม้า แรงบิด 106 นิวตันเมตร พร้อมเกียรอัตโนมัติ Xtronic CVT กับเกียร์ธรรมดา จนกลายเป็น Eco Car ซีดานที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และเป็น Eco Car อีกหนึ่งรุ่นในตลาดรถมือสอง ที่มองหาเป็นเจ้าของสำหรับคนเมืองที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัว เริ่มต้นทำงานด้วยราคามือสองที่เด่น ตั้งแต่ 245,000 – 388,000 บาท

3. Suzuki Swift………..Eco Car ออพชั่นเพียบ

ตามมาติดๆกับเจ้าพ่อรถเล็กที่ขอกระโดดเข้าร่วมตลาด Eco Car ด้วยรูปทรง Hatchback 5 ประตู คล้ายละม้ายกับรถ MINI รวมถึงการตัดสินใจใช้เครื่องยนต์เบนซิน K12B 1.2 ลิตร 4 สูบ 91 แรงม้า แรงบิด 118 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และ เกียร์ธรรมดา ผสมกับออฟชั่นที่ให้มาไม่วาจะเป็น ปุ่ม Push Start พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบพับ 60 : 40 แถมเป็น Eco Car เจ้าเดียวที่ติดตั้ง Cruise Control ให้เพื่อความสบายในการเดินทางไกล และ Paddle Shift สร้างความเร้าใจทุกกการขับขี่ จนกลายเป็นรถ Eco Car อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจนเป็นที่สนใจจากสาวกและยังสามารถต่อยอดตกแต่งได้ตามต้องการ ด้วยราคามือสองที่ดี่ที่สุดในตลาดตั้งแต่ปี 2555 เริ่มที่ 292,000 – 410,000 บาท

4. Mitsubishi Mirage Eco Car ที่ให้คุณได้มากกว่า

ค่ายทรีไดมอนด์นอกจากจะถนัดรถกระบะกับรถอเนกประสงค์แล้ว ด้านรถยนต์นั่งก็ไม่เป็นรองใคร จึงเล็งเห็นการเติบโตของตลาด Eco Car พร้อมนำชื่อ Mirage กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งด้วยรูปแบบ Hatchback 5 ประตู จากเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 78 แรงม้า แรงบิด 100 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ INVESC III CVT กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อมระบบปุ่ม Push Start กับ กุญแจอัจฉริยะ และสามารถพับเบาะหลังได้ ฯลฯ และด้วยราคามือสองที่ยังคุยกันได้ เริ่มที่ 199,000 -359,000 บาท

5. Honda Brio Amaze Eco Car ตัวตนเด่นด้วยท้ายสั้น

ปิดท้ายด้วย Eco Car ซีดานเล็กรุ่นที่ 2 ท้าชน Nissan Almera ด้วยการนำ Brio 5 ประตู มาออกแบบบั้นท้ายใหม่ที่สั้นกว่าใครในกลุ่ม กับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน I-VTEC 1.2 ลิตร 4 สูบ 90 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT กับออพชั่นบ้านๆที่ทุกค่ายมีเหมือนกันทั้งหมด ตั้งแต่ พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS วิทยุ MP3 เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ถึงแม้จะเป็นรถที่ไม่ค่อยโดดเด่นมากในเรื่องออพชั่นแต่ด้วยขุมพลัง ที่มีไม่กี่เจ้าที่ใช้เครื่องยนต์ แบบ 4 สูบส่งให้เจ้า Brio Amaze ก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้เจ้าอื่นๆ กับราคามือสองตั้งแต่ราคา 269,000 – 369,000 บาท

อ้างอิงราคารถมือสองจาก Taladrod (ราคารถมือสองอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์)

เรื่องและเรียบเรียงโดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)

cr. http://www.autodeft.com/buyingguide/second-hands-eco-car-thailand

หลากวิธีจัดการกับรถเมื่อเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึง

การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จนทำให้เกิดความเสียหายทั้งรถและคนอยู่เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบก็จะเป็นเมาหรือง่วงแล้วขับ และขับรถโดยประมาท แต่เราก็ต้องยอมรับว่าบางเหตุการณ์ก็มาจากสิ่งที่คาดไม่ถึงจากรถยนต์ของเรา วันนี้เราจะมาดูกันว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงเหล่านี้แล้ว เราควรต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้เราและคนอื่นๆปลอดภัย

1. ยางแตก

แน่นอนว่าก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง การตรวจสอบยางเป็นเรื่องสำคัญ ต้องคอยดูว่ายางอยู่ในสภาพที่ยังใช้งานได้หรือเปล่า มีรอยแตก ปูด บวม หรือไม่ ถ้ามีก็ควรเปลี่ยนก่อนเดินทาง และควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติประมาณ 3-5 psi เพื่อลดการขยายตัวของยางด้วย แต่เมื่อขณะที่เราใช้ความเร็วแล้วยางดันแตกขึ้นมาพอดี สิ่งแรกที่ควรนึกอยู่เสมอก็คือ “ห้าม” เหยียบเบรกแรงเพื่อหยุดรถหรือดึงเบรกมือโดยเด็ดขาด เพราะการเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถโดยทันที จะทำให้รถเกิดอาการไถลออกข้าง ยิ่งถ้าเกิดยางที่แตกเป็นยางหน้า อาจทำให้รถหมุนหรือพลิกคว่ำได้เลย จากนั้นให้พยายามประคองพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงก่อน แล้วค่อยแตะเบรกทีละน้อยเพื่อค่อยๆชะลอความเร็ว แล้วประคองเข้าข้างทางจนรถหยุดสนิท จากนั้นก็ค่อยดำเนินการเปลี่ยนยางต่อไป

2. เบรกแตก

อาการเบรกแตกหรือเบรกหาย มีได้จากหลายสาเหตุ ทั้งตัวท่อเบรกรั่วหรือปั๊มเบรกเสีย ถ้าเมื่อไหร่เราขับอยู่แล้วกดแป้นเบรกแล้วมันไม่ทำงาน สิ่งแรกที่ต้องทำคือถอนเท้าออกจากคันเร่งแล้วคุมพวงมาลัยให้ดี จากนั้นให้ประคองรถให้อยู่ไกลกับคันอื่น สำหรับรถที่เป็นเกียร์ธรรมดา ให้ค่อยๆเปลี่ยนเกียร์ลงมาเรื่อยๆจาก 5-4-3-2-1 จนรถหยุดได้สนิทที่ข้างทาง หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Sport ก็ให้ค่อยๆทอนเกียร์ลงมาเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ที่ไม่มีการเปลี่ยนแบบ Sport ให้ค่อยถอนลงมาเป็น 3 แล้วใช้เบรกมือช่วย โดยค่อยๆดึงช้าๆถ้ารู้สึกรถลดความเร็วเณ้วเกินไป ให้ถอนเบรกมือออก แล้วค่อยดึงใหม่ จนกว่าจะพารถเข้าจอดสนิทที่ข้างทางได้

3. คันเร่งค้าง

อาการคันเร่งค้างอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน ทั้งลิ้นปีกผีเสื้อติด หรือคันเร่งทำงานผิดปกติ แต่เมื่อเกิดอาการคันเร่งค้างเมื่อไหร่ สิ่งแรกที่ห้ามทำเด็ดขาดคือ “ดับเครื่อง” เพราะการดับเครื่องจะทำให้หม้อลมเบรกหยุดทำงานไปด้วย จะทำให้การหยุดรถทำได้ยากขึ้น แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือการหยุดส่งกำลังไปที่ล้อด้วยการเปลี่ยนเข้าเกียร์ว่างทันที เมื่อเปลี่ยนเข้าเกียร์ว่างได้แล้ว รถก็จะลดความเร็วลงเอง จากนั้นก็ค่อยๆเบรกแล้วประคองเข้าข้างทาง และ “ห้าม” ให้รถต่อในทันที จนกว่าจะหาสาเหตุเสียได้ ดังนั้นให้เรียกรถยกเพื่อเข้าอู่ทันที

cr. http://www.autodeft.com/deftanswer/how-to-do-when-face-with-mulfunction-car

check-credit