เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

7 เทคนิคขับรถตอนฝนตกอย่างปลอดภัย

ช่วงฤดูฝนถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีความระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นทัศนวิสัยการมองเห็น ยิ่งฝนตกถนนลื่น ความลำบากในการควบคุมรถยิ่งมากขึ้น สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันที่ทำให้ฝนตกหนักมาก มาพร้อมกับสายลมที่รุนแรงฝนที่โหมกระหน่ำหนัก รวมถึงอาจมีน้ำท่วมอีกด้วย ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ระหว่างขับรถเราจะต้องทำยังไง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ควรต้องระวังและใส่ใจมาก เพราะยังมีประสบการณ์และเทคนิคการขับรถน้อย รู้ใจขอพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมและเทคนิคการขับรถตอนฝนตกอย่างถูกวิธีที่จะทำให้การเดินทางของคุณในทุกเส้นทางเต็มไปด้วยการขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้คุณสามารถขับรถหน้าฝนได้อย่างมีสติอีกด้วย อะไรบ้างที่ทุกคนต้องรู้ ไปดูเลย 

1. ความพร้อมของรถ

สิ่งแรกที่จะทำให้การขับรถในช่วงฤดูฝนเกิดความปลอดภัยอย่างสูงที่สุด คือการเตรียมรถของคุณให้พร้อมนั่นเอง ทั้งระบบยาง ระบบเบรครถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงยางปัดน้ำฝน อุปกรณ์เล็ก ๆ แต่มีผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็นของคุณ 

ดังนั้นก่อนเข้าสู่หน้าฝนแต่ละปี เจ้าของรถควรพารถเข้าเช็คสภาพรถว่ามีอุปกรณ์ส่วนใดชำรุดเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่พร้อมต่อการใช้งาน ควรทำการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านั้นในทันทีเพื่อการขับขี่ปลอดภัย อย่าปล่อยให้เข้าถึงหน้าฝนก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะบางครั้งมันหมายถึงการพารถที่ไม่มีความพร้อมเข้าไปสู่สถานการณ์อันตรายได้นั่นเอง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ที่ยังมีประสบการณ์และเทคนิคการควบคุมน้อยอาจเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้

2. ตรวจสอบเส้นทางก่อนเดินทาง

ก่อนการเดินทางในช่วงฤดูฝน หากเป็นไปได้ควรทำการตรวจสอบเส้นทางก่อนการเดินทางในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ ว่ามีการจราจรติดขัดในบริเวณนั้นมั้ยหรือกำลังมีฝนตั้งเค้าเข้ามาในพื้นที่หรือเปล่า การติดตามข้อมูลต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมให้คุณไม่ต้องเสี่ยงขับรถลุยน้ำเมื่อตกหนักมากได้

3. ลดความเร็ว

สิ่งแรกที่นักขับรถทุกคนควรทำตอนขับรถท่ามกลางสายฝนคือการลดความเร็วในการเดินทางของคุณลงมา เพราะเมื่อฝนตกในแต่ละครั้งไม่ว่าจะหนักหรือเบามีผลต่อการควบคุมและบังคับรถทั้งสิ้น โดยปกติแล้วความเร็วเดินทางที่ปลอดภัยตอนฝนตกควรอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเป็นความเร็วที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย

4. ห้ามลืมเปิดไฟหน้าหรือไฟส่องสว่าง

ไม่ว่าในจะตกหนักหรือเบาควรเปิดไฟหน้าและไฟท้ายให้สว่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น รวมไปถึงเป็นการแจ้งตำแหน่งรถของตัวเองให้กับทุกคนได้ทราบอีกด้วย

5. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ใหญ่

หากคุณสามารถเลือกเส้นทางได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในพื้นที่ที่มีต้นไม้หนาแน่นเพราะมีโอกาสที่กิ่งไม้จะหักตกลงมาใส่รถของคุณจนเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ แต่หากไม่มีทางเลือกจริง ๆ จำเป็นต้องใช้เส้นทางที่มีต้นไม้เยอะ การเลือกหยุดรถรอจนกว่าฝนจะซาแล้วค่อยเดินทางต่อไปก็จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่า

6. จอดรถเมื่อฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง

แต่หากฝนตกหนักมากจนการเปิดไฟหน้ารถไม่ช่วยให้คุณมองเห็นทางได้อย่างชัดเจน ควรจอดรถเพื่อความปลอดภัย ยิ่งในปัจจุบันมีทั้งจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน จุดจอดรถของหน่วยงานราชการอยู่เป็นจำนวนมากสามารถจอดรถหยุดพักได้ ที่สำคัญไม่ควรจอดรถไว้ริมถนนหรือพื้นที่น้ำหลาก เพราะอาจเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันตามมาได้อีกด้วย 

7. ตรวจสอบอุปกรณ์รถยนต์

เมื่อถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างให้มีความพร้อมต่อการใช้งานเป็นสิ่งที่จำเป็น  โดยเฉพาะระบบเบรกกับระบบไฟว่ายังคงทำงานได้ดีอยู่มั้ย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเดินทางครั้งต่อไปนั่นเอง

ทำไมบริษัทประกันภัยต้องมอบส่วนลดประวัติดีให้ลูกค้า?

การมอบส่วนลดประวัติดีให้กับลูกค้าที่ “ขับดีไม่มีเคลม” ไม่มีปัญหาการเฉี่ยวชน บริษัทประกันภัยเล็งเห็นแล้วว่าเจ้าของรถมีความเสี่ยงน้อยที่จะสร้างการใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปีนั้น ๆ จึงสามารถนำมาเป็นส่วนลดให้ในปีถัดไป อีกทั้งความทันสมัยในการบันทึกข้อมูลในตอนนี้ แทบจะรู้ในทันทีเลยว่าเจ้าของรถมีประวัติการขับขี่ยังไง หากประวัติการขับขี่ของคุณไม่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือมีโดยที่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด สิ่งนี้จะสร้างความไว้วางใจให้กับบริษัทประกันภัยที่จะมอบส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกในปีถัดไป 

อยากได้ส่วนลดประวัติดี ต้องทำยังไง?

วิธีที่คุณจะเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ส่วนลดประวัติดีง่าย ๆ คือ ต้องไม่มีการเคลม ยิ่งไม่เคลมนานเท่าไหร่ ส่วนลดประวัติดีก็จะยิ่งมากขึ้น และถ้าคุณปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ที่เรานำมาฝาก โอกาสที่คุณจะได้รับส่วนลดประวัติดีมีมากขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น 

1. พฤติกรรมการขับรถ

สิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถพิจารณาได้ว่าคุณคือผู้ถูกเลือกสำหรับการรับส่วนลดประวัติดี นั่นคือ วิธีการขับรถของคุณเองนั้นเป็นยังไง เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครบอกก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวของคุณเอง หากคุณคือ ผู้ขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรทุกครั้ง มีความระมัดระวังในการขับขี่อยู่เสมอ เชื่อเหลือเกินว่า ยังไงคุณมีโอกาสได้รับส่วนลดนี้แน่นอน

2. ประสบการณ์ขับขี่

ประสบการณ์ด้านการขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ บางคนแม้ว่าจะขับรถระมัดระวังแค่ไหน แต่มีประสบการณ์การขับรถน้อยเกินไป การตัดสินใจในสภาวะที่คับขัน หรือในพื้นที่ที่เส้นทางจราจรมีขนาดเล็กอาจเลี่ยงโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้น้อย ประสบการณ์ในการขับขี่จึงถูกนำมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการมอบส่วนลดประวัติดี

3. หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุ

ทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ คือการไม่นำตัวเองเข้าไปในความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่ป้องกันคุณจากอุบัติเหตุได้ไม่มากก็น้อย เช่น ถ้าง่วงนอนไม่ต้องฝืนขับ เมาแล้วไม่ควรขับ หรือหากไม่ชำนาญในเส้นทางที่จะไป การขับรถในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น

ส่วนลดประวัติดีคำนวณยังไง?

สำหรับการมอบส่วนลด ประกันรถยนต์ประวัติดี หรือ No Claim Bonus โดยส่วนใหญ่แต่ละบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขกำหนดการพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ทุนที่ใช้สำหรับการเคลมประกันว่าใช้ไปแล้วมากน้อยแค่ไหน จำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน สิ่งเหล่านี้จะถูกนำพิจารณาเป็นส่วนลดในรูปแบบของ “ประวัติดี” เอาไว้ให้เจ้าของรถได้พิจารณาสำหรับการต่อประกันภัยใหม่ด้วย 

NCB จะมอบส่วนลดให้ในรูปแบบขั้นบันไดที่อาจมีความแตกต่างกันไปในส่วนของเปอร์เซ็นต์การลดแต่ก็จะไม่ค่อยหนีกันมาก ดังข้อมูลต่อไปนี้

  • ส่วนลดประวัติดี 20% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลมในปีแรก
  • ส่วนลดประวัติดี 30% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 2 ปี ติดต่อกัน
  • ส่วนลดประวัติดี 40% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 3 ปี ติดต่อกัน
  • ส่วนลดประวัติดี 50% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 4 ปี ติดต่อกัน

นั่นหมายความว่า หากคุณเป็น “ผู้ขับที่ดี” ไม่เคยพารถไปประสบอุบัติเหตุ เฉี่ยวชน จนเกิดความเสียหายจนต้องเคลม ในปีที่ 5 คุณจะได้รับส่วนลดในการทำประกันสูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต้องจ่าย ซึ่งนับว่า “เป็นส่วนลดที่สูงมาก”

ลอกสติ๊กเกอร์ติดรถทำง่ายไม่ทิ้งคราบกาว

การลอกสติ๊กเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่เก่าแล้ว หรือสติ๊กเกอร์ที่ยังดีอยู่แต่จำเป็นต้องลอกออกจากตัวถังรถ จะมีเทคนิคและวิธีการจัดการยังไง

1. ใช้ไดร์เป่าผม

อุปกรณ์ตัวช่วยอย่างแรกที่จะทำให้การลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถเป็นไปด้วยความง่ายดายและรวดเร็วคือ ไดร์เป่าผมที่ใช้อยู่ตามบ้านนั่นเอง วิธีลอกสติ๊กเกอร์นี้จะใช้การเป่าลมร้อนที่มีผลทำให้กาวสติ๊กเกอร์ละลาย ทำให้เจ้าของรถหรือผู้รับผิดชอบในการลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังทำงานได้โดยง่าย โดยใช้ไดร์เป่าผมเปิดลมที่ไม่แรงมากนัก ค่อย ๆ ไล่เป่าไปตามสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ ความร้อนจากไดร์เป่าผมจะช่วยละลายกาวด้านหลังของสติ๊กเกอร์ทำให้สามารถลอกออกมาได้ หลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดในส่วนของกาวที่ยังตกค้างอยู่ให้ลอกออกไปทั้งหมด

2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือครีมอเนกประสงค์

อีกหนึ่งวิธีลอกสติ๊กเกอร์ที่น่าสนใจคือ การใช้น้ำยาขัดเคลือบต่าง ๆ หรือน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ทั้งแบบสเปรย์หรือแบบครีม การใช้น้ำยาเหล่านี้จะใช้ก็ต่อเมื่อทำการลอกสติ๊กเกอร์ออกไปแล้วและต้องการไล่ลบคราบสติ๊กเกอร์ที่ยังติดอยู่ตามตัวถังรถ ด้วยคุณสมบัติในการลดการยึดเกาะของน้ำยาอเนกประสงค์จึงทำให้การนำไปทากับสติ๊กเกอร์ที่ยังติดแน่นอยู่นั้นสามารถหลุดลอกออกมาได้ง่าย เมื่อสติ๊กเกอร์พองตัวและหลุดออก คุณก็สามารถลอกออกมาแล้วใช้น้ำยาอเนกประสงค์เช็ดซ้ำทำความสะอาดอีกทีได้

3. ใช้น้ำส้มสายชู

ถือเป็นอีกหนึ่งน้ำยาอเนกประสงค์สำหรับการขจัดคราบต่าง ๆ ได้อย่างสะอาดหมดจด น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับกัดสีรถจนก่อให้เกิดความเสียหาย สิ่งนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีอีกอย่างสำหรับการล้าง เช็ด เพื่อเอาสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถ คุณสามารถใช้วิธีการพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูเข้าไปยังจุดที่ติดสติ๊กเกอร์หรือการใช้ผ้าชุบเช็ดและค่อยขัดถูไปเรื่อย ๆ จนกว่าสติ๊กเกอร์และคราบกาวทั้งหมดจะหลุดออกไปทั้งหมด เพียงเท่านี้ สติกเกอร์ก็จะหลุดออกมาได้

Cr. Roojai

3 สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อโดนชนแล้วหนี

ในการขับรถในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัญหาที่ใคร ๆ ต่างไม่อยากพบเจอคือโดนชนแล้วหนี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แนะนำทริคในการรับมือเมื่อโดนชนแล้วหนี ดังนี้

1. ตั้งสติและเก็บหลักฐานให้ครบ

สิ่งแรกเมื่อประสบเหตุโดนชนแล้วหนี คือตั้งสติ ดูความเสียหายทุกอย่างให้ครบถ้วน เก็บหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตัวเอง ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญไม่ควรขยับรถออกจากที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะอาจมีกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์รถชนที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากคุณเลื่อนรถไปจากตำแหน่งที่เกิดเหตุในทันที อาจทำให้กระบวนการตรวจสอบทุกอย่างผิดเพี้ยนได้ การเก็บข้อมูลทุกอย่างจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อใช้ประกอบเอกสารพิจารณาสำหรับการเคลมประกันในลำดับต่อไป

2. ติดต่อตัวแทนประกันทันที

หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ให้รีบติดต่อกับบริษัทประกันภัยที่รับผิดชอบดูแลกรมธรรม์ประกันภัยในทันที โดยในเบื้องต้นจะเป็นการตรวจสอบกรมธรรม์ขั้นพื้นฐานว่ามีการดูแลคุ้มครองอยู่ในระดับไหน เพราะในปัจจุบันนี้บริษัทประกันภัยประกันทุกแห่งได้เพิ่มมาตรการด้านความคุ้มครองเอาไว้สูงมากขึ้น หากคุณได้ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือแผนอื่น ๆ ที่คุ้มครองอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีหรือในกรณีที่คู่กรณีหนีหายไปในรูปแบบนี้ ทางบริษัทยังคงสามารถดำเนินการเรื่องประกันต่อไปให้คุณได้ นอกจากนั้นแล้วบริษัทประกันภัยจะแจ้งการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป เช่น หากคุณส่งภาพถ่ายของสถานที่เกิดเหตุ และเก็บหลักฐานเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว ทางตัวแทนประกันอาจไม่จำเป็นต้องมายังที่เกิดเหตุและคุณสามารถเลื่อนหรือเคลื่อนย้ายรถไปได้

3. แจ้งความในทันที

สำหรับการเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบของการถูกชนแล้วหนี ผู้ประสบเหตุต้องรีบดำเนินการแจ้งความในทันทีเพื่อลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ นอกจากจะสามารถกู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุจากกล้องวงจรปิดของทางหน่วยงานได้อย่างรวดเร็ว การมีเอกสารในการแจ้งความนี้จะทำให้การยื่นเรื่องเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการเคลมประกันทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเอกสารที่สำคัญมากที่จะเป็นการยืนยันให้ทราบได้ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง

Cr. Roojai

ท่าจับพวงมาลัยบ่งบอกนิสัย

นอกจากการทำนายนิสัยตามวันเกิด ราศีเกิด ยังมีอีกสิ่งที่สามารถทำนายนิสัยคุณและความเป็นตัวตนได้ คือไลฟ์สไตล์ ความชอบ อากัปกิริยาอาการต่าง ๆ ที่คุณทำในแต่ละวัน โดยเฉพาะท่าทางการแสดงออกมาแบบธรรมชาติโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวอย่างท่าทางการจับพวงมาลัยรถยนต์ขณะขับรถ ก็สามารถทำนายได้คร่าว ๆ บอกนิสัยได้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน?

1. การจับพวงมาลัยในตำแหน่งซ้ายขวาเท่ากัน

สำหรับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มักมีชื่อเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า การจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา กล่าวคือเป็นการจับพวงมาลัยที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เท่ากันในระดับความสูงทั้งซ้ายและขวา สำหรับคำบอกเล่าถึงอุปนิสัยของผู้ที่นิยมการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ จะมีนิสัยชอบความเรียบร้อย สมบูรณ์แบบ หรือที่มักเรียกกันว่าเป็น Perfectionist นั่นเอง ซึ่งข้อดีสุด ๆ คือมีความมุ่งมั่นในการทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และจริงจัง แต่บางครั้งอาจไม่สามารถยอมรับความบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

2. การวางมือข้างใดข้างหนึ่งไว้ที่ก้านพวงมาลัย

อีกหนึ่งบุคลิกที่แสดงออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ ขณะขับรถนั่นคือการใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับที่ก้านพวงมาลัย สำหรับความหมายที่สื่อออกมากับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ คุณเป็นคนรักการผจญภัย ชื่นชอบความท้าทาย  และมองหาสิ่งแปลกใหม่มาเติมเต็มให้กับชีวิตคุณในทุกเวลา พร้อมทั้งชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ

3. การหงายมือขึ้นจับใต้พวงมาลัย

สำหรับการจับพวงมาลัยรถยนต์ในรูปแบบนี้พบเห็นกันได้น้อยมาก เพราะดูเป็นการจับพวงมาลัยในรูปแบบที่ฝืนธรรมชาติอยู่พอประมาณ ซึ่งหากคุณพบใครก็ตามที่จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ บุคคลเหล่านั้นจะมีนิสัยที่มีความเป็นผู้นำสูง สามารถโน้มน้าวใจของผู้อื่นได้ดี เป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาของใคร ๆ อยู่ตลอด และเป็นนักควบคุมและออกคำสั่งที่เฉียบขาดอีกด้วย

4. การคว่ำมือลงจับใต้พวงมาลัย

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อยและเป็นเหมือนด้านตรงข้ามของการจับพวงมาลัยแบบหงายมือขึ้น จับใต้พวงมาลัย เพียงแต่เปลี่ยนเป็นคว่ำมือลง สำหรับอุปนิสัยที่จะพบเห็นได้ในคนกลุ่มนี้คือ คนกระตือรือร้น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าได้สนใจอะไรก็จะให้ความสนใจอย่างเต็มที่พร้อมกับเป็นนักสนับสนุนที่ดี และเป็นผู้มีความเมตตาสูงอีกด้วย

5. การจับพวงมาลัยด้านบนสุดด้วยมือเดียว

คนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์แบบนี้คือ จะจับด้วยมือข้างเดียวที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งโดยข้อแนะนำสำหรับการขับรถโดยทั่วไปถือว่าเป็นรูปแบบที่ไม่ค่อยปลอดภัย แต่ถึงกระนั้นด้วยนิสัยส่วนตัวของใครหลายคนยังคงมีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้อยู่ สำหรับอุปนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยแบบนี้คือบุคคลผู้เปรียบเสมือนศูนย์กลางที่มีแต่คนอยากอยู่รายล้อมรอบข้าง เป็นบุคลิกแห่งความใจเย็นที่แอบซ่อนอยู่ในตัว ใครอยู่ด้วยก็มีแต่ความรู้สึกสบายใจ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่ก็เป็นคนที่คนอื่นสามารถเข้ามาหาและพึ่งพาได้อยู่เสมอ

6. การจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างที่ก้านพวงมาลัย

แม้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะการควบคุมการหมุนพวงมาลัยด้วยการบิดจับที่ตำแหน่งก้านพวงมาลัยมีพื้นที่น้อยมาก การจับแบบนี้บอกนิสัยของผู้จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มีลักษณะเป็นคนเงียบขรึม เรียบ ๆ และไม่ชอบสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของตนเอง

7. การจับพวงมาลัยด้วยมือสองข้างที่ด้านบนสุดของพวงมาลัย

นับเป็นอีกหนึ่งลักษณะของคนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์ได้น่าสนใจ นั่นคือการที่ใครสักคนจะจับพวงมาลัยในตำแหน่งบนสุดหรือที่เรียกว่าตำแหน่ง 12 นาฬิกาด้วยมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคลิกของคนประเภทนี้คือ คนขี้กังวล ค่อนข้างจะตื่นตูม ใส่ใจในรายละเอียดมาก ตรวจสอบทุกอย่างอยู่บ่อย ๆ  ทำให้หลายคนมองดูว่าเป็นคนใจร้อน หลุกหลิก ไปซะอย่างนั้น

8. การจับพวงมาลัยแบบสลับบนล่าง

สำหรับท่าจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ หลายพื้นที่สอนการขับรถจะบอกว่าเป็นวิธีจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง เพราะท่าการขับรถนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถถ่ายโอนการควบคุมการหมุนพวงมาลัยไปยังมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคคลที่มีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในเหตุและผล ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นยังเป็นคนที่ได้รับการยอมรับและมักตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี แต่แอบมีความเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่นิด ๆ อีกด้วย

9. การจับพวงมาลัยพร้อมวางมือในตำแหน่งบีบแตร

สำหรับลักษณะนิสัยของผู้ชอบจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ เป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น ไม่ยอมใคร ดังนั้นอาจต้องใส่ความใจเย็นลงไปสักนิดสำหรับการควบคุมอุณหภูมิแห่งอารมณ์ที่มักพลุ่งพล่านอยู่บ่อย ๆ ให้ได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรบุคลิกที่น่าสนใจอีกประการคือการ “คิดไว ทำไว” ทำให้เป็นคนที่มีความก้าวหน้าในตัวเองอยู่เสมอ 

10. การจับกึ่งกลางพวงมาลัยซ้ายหรือขวาด้วยมือข้างเดียว

สำหรับการจับพวงมาลัยแบบนี้จะจับพวงมาลัยรถยนต์ในตำแหน่ง 9 นาฬิกาหรือ 3 นาฬิกาด้วยข้างใดข้างหนึ่ง บอกนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยรถในรูปแบบนี้คือ การรักความสบาย ทำอะไรแบบง่าย ๆ ไม่คิดมาก ไม่ชอบโอ้อวด และอาจเป็นคนที่ชอบเก็บตัวนิด ๆ อยู่ด้วย

Cr. Roojai

เบาะหนัง VS เบาะผ้า แบบไหนที่ใช่แบบไหนที่ชอบ

เป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนเหมือนกันในการเลือกเบาะที่เหมาะสมกับรถและการใช้งานของเราเพราะทั้งเบาะหนังและเบาะผ้าต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย มาเทียบกันชัด ๆ เลยดีกว่า ว่าแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

เบาะหนัง 

เบาะหนังรถยนต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือเบาะหนังแท้ และเบาะหนังเทียม เบาะหนังแท้จะทำจากหนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกและย้อมสี เพื่อให้หนังไม่มีกลิ่น ทนทาน และนุ่ม รวมทั้งมีความยืดหยุ่นเนื่องจากมีไขมันสัตว์ที่มีความชุ่มชื้น นอกจากคุณสมบัติการใช้งานแล้ว ภายนอกยังมีความหรูหรา ดูภูมิฐาน 

เบาะหนังเทียมสามารถแบ่งแยกย่อยได้เป็นเบาะหนังเทียมที่ทำจาก PVC (Polyvinyl Chloride) ที่นำมาซักย้อม เป็นเบาะที่มีคุณสมบัติคงทน ไม่นุ่ม แต่ก็ไม่ขาดง่าย ตัวเนื้อเบาะจะมีความกระด้าง เบาะหนังเทียมอีกประเภทจะทำจาก PU (Polyurethane) มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน ตัวเบาะมีความนุ่มคล้าย ๆ กับเบาะหนังแท้ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเบาะหนังที่ทำจาก PVC 

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

ข้อดีของเบาะหนัง 

ดีไซน์และสัมผัส 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากหนังจะโดดเด่นในเรื่องให้ความรู้สึกหรูหรา เรียบหรู ดูดี จึงอาจจะทำให้หลายคนตกหลุมรักในภาพลักษณ์ดังกล่าวของตัวเบาะหนัง นอกจากนี้ตัวเบาะหนังเองยังมีความนุ่มและยืดหยุ่นอีกด้วย

ทำความสะอาดง่าย 

เนื่องจากตัวเบาะหนังนั้นมีคุณสมบัติที่ไม่อบฝุ่นหรือดูดซับน้ำ จึงทำความสะอาดง่าย หมดห่วงเรื่องคราบฝังรากลึก 

ข้อเสียของเบาะหนัง

ดูดซับความร้อนง่าย ระบายความร้อนช้า 

สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาหากเลือกใช้เบาะหนังคือการถ่ายเทความร้อนของตัวเบาะหนัง เนื่องจากเบาะหนังมีคุณสมบัติดูดซับความร้อน และระบายความร้อนได้ช้ากว่าเบาะผ้า ในขณะเดียวกัน หากอยู่ในสภาพอากาศหนาวจัด ก็อาจจะพบปัญหาการดูดซับอากาศเย็นทำให้เบาะเย็นเร็วได้อีกด้วย 

ต้องดูแลรักษาให้เบาะหนังเงางาม

แม้ว่าเบาะหนังจะทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ดูดซับฝุ่นก็จริง แต่ก็ต้องมีการดูแลรักษาเพื่อให้เบาะยังคงเงางามไร้รอยขีดข่วน ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูง 

ราคาสูง

ไม่ว่าตัวเบาะหนังจะทำมาจากหนังแท้หรือหนังสังเคราะห์ ต่างก็ยังต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและละเอียด จึงทำให้ตัวเบาะหนังนั้นมีราคาแพงกว่าเบาะผ้า 

เบาะผ้า 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากผ้า เช่น ผ้าสังเคราะห์ หรือผ้ากำมะหยี่ ถือเป็นเบาะที่พบเห็นกันได้ทั่วไป เนื่องจากเป็นเบาะที่มีราคาถูก และซ่อมแซมได้ง่าย 

ข้อดีของเบาะผ้า

ราคาย่อมเยา

ข้อดีอันดับแรกของเบาะผ้าคือราคาที่ย่อมเยา เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำนั้นมีราคาไม่แพง ซึ่งแตกต่างกับเบาะหนังที่จะมีกระบวนการผลิตและวัสดุที่มีราคาแพง

ถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า

เนื่องด้วยตัวเบาะผ้ามีคุณสมบัติในการถ่ายเทและเก็บกักความร้อนที่ค่อนข้างสเถียรกว่าเบาะหนัง จึงทำให้เมื่อจอดอยู่กลางแดดหรือขับรถในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ตัวเบาะผ้าจะไม่อมความร้อนเท่ากับเบาะหนัง

ยึดเกาะร่างกายขณะขับทางโค้งได้ดี

ด้วยความที่เบาะผ้ามีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างลื่นน้อยกว่าเบาะหนัง ทำให้สามารถยึดเกาะร่างกายไม่ให้ไหลไปตามแรงเหวี่ยงของรถได้ดีกว่าเบาะหนัง 

ข้อเสียของเบาะผ้า

ทำความสะอาดยาก 

เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างอมฝุ่นและอมน้ำ เกิดเป็นคราบได้ง่าย ทั้งคราบน้ำ และคราบฝุ่นได้ง่าย 

เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

เบาะผ้าถือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ดี เนื่องจากมีความชื้นมากกว่าเบาะหนัง ทำให้เมื่อเปียกน้ำ จะสะสมความชื้นไว้ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อโรคตามมาได้

วิธีการดูแลรักษาเบาะหนังและเบาะผ้า

อย่างที่เกริ่นไปว่าเบาะหนังและเบาะผ้ามีความแตกต่างกัน ดังนั้นการดูแลรักษาเองก็ย่อมแตกต่างกันด้วย เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเบาะแต่ละแบบจะมีวิธีการดูแลรักษาที่ต่างกันอย่างไร 

การดูแลรักษาเบาะหนัง 

ใครที่เลือกใช้เบาะรถยนต์เป็นเบาะหนัง เราขอแบ่งขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดเบาะออกเป็นสองส่วน นั่นก็คือส่วนการทำความสะอาด และการบำรุงรักษาให้เงางาม

การทำความสะอาด

  1. ดูดฝุ่นทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นผงหรือเศษต่าง ๆ 
  2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหนังหรือน้ำสบู่เพื่อทำความสะอาดคราบที่ค่อนข้างเกาะแน่น
  3. ปล่อยให้เบาะหนังแห้งสนิท 

การบำรุงรักษา

  1. ใช้น้ำยาเคลือบเบาะหนังเพื่อให้เบาะหนังของคุณเงางาม 

การดูแลรักษาเบาะผ้า

การดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะผ้านั้น สามารถทำตามได้ดังนี้

  1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดฝุ่นและเศษผงต่าง ๆ ที่ติดเบาะ เพื่อให้เบาะของคุณสะอาดอยู่เสมอ และคงทนมากยิ่งขึ้น
  2. ในกรณีที่เบาะมีคราบน้ำหรือคราบเปื้อนฝังลึก แนะนำให้ใช้น้ำฉีดและนำแปรงมาขัด จากนั้นใช้ผ้าหรือทิชชูเช็ดให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้เปียกชื้นนาน เพราะอาจจะเกิดเชื้อโรคหรือเชื้อราได้ 

สรุปรวมเบาะหนัง VS เบาะผ้า ควรเลือกอะไรดี?

สำหรับหลายคนที่คิดไม่ตกว่าควรเลือกเบาะหนังหรือเบาะผ้าสำหรับรถยนต์คู่ใจของคุณ ทางเราต้องบอกว่าสามารถเลือกได้โดยตัดสินใจจากความชอบและลักษณะการใช้งานของเราได้เลย หากคุณชอบเบาะที่ให้สัมผัสเนียนเรียบ หรูหรา ก็สามารถเลือกเบาะหนังได้ ทั้งนี้ก็สามารถเลือกโดยเบสจากดีไซน์ภายในของรถเป็นหลักได้ อย่างเช่น บางดีไซน์อาจจะดูเหมาะกับเบาะหนังมากกว่า หรือบางดีไซน์อาจจะเหมาะกับเบาะผ้า 

หากคุณต้องการเบาะที่ราคาย่อมเยาว์ ใช้งานง่าย และระบายความร้อนได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการขับขี่รถกลางแจ้ง หรือต้องมีเหตุให้จอดรถกลางแจ้งบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถตัดสินใจได้จากวิธีการดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะแต่ละประเภท เลือกแบบที่คุณคิดว่าเหมาะกับชีวิตประจำวันของคุณได้เลย

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.kaidee.com

4จุดที่ต้องตรวจสอบสำหรับรถเกิน10ปี

การดูแลรักษารถยนต์ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นรถรุ่นใหม่ หรือรถเก่าที่ไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรถของคุณเป็นรถเก่าที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป การเอาใจใส่เพื่อดูแลรักษารถยนต์ต้องทำอย่างพิถีพิถัน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รู้ใจชวนทุกคนมาเรียนรู้เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็น “รถเก่า” อายุเกิน 10 ปีหรือใกล้เคียง ให้สภาพรถยังดีกันดีกว่า ทำอย่างไรให้รถคันโปรดยังอยู่ในสภาพดีและสามารถใช้งานได้ในทุกเวลา มาเปลี่ยนตัวคุณให้เป็นนักซ่อมบำรุงรถชั้นดีเพื่อรถของคุณกันดีกว่า แม้ว่าจะเป็นรถเก่าอายุกว่า 10 ปี แต่ก็ยังน่าใช้น่าขับ จะมีอะไรบ้างที่ต้องดูแล ไปดูกัน!

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

1.ระบบเครื่องยนต์

จุดแรกที่เจ้าของรถต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ระบบเหล่านี้ยังใช้การได้ดีหรือไม่ อะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในระบบยังคงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า นั่นคือ ระบบเครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของรถเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าคุณคือนักสะสมรถแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี

แม้ว่ารถคันนั้นจะถูกใช้งานหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่มีอายุรถถึง 10 ขึ้นไป ต้องตรวจสอบเครื่องยนต์ทั้งระบบอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ระบบไฟฟ้าที่เดินในตัวรถทั้งหมด ระบบลูกสูบ ระบบหัวฉีดน้ำมัน ทุกอย่างยังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่ รวมไปถึงระบบชาร์จและสตาร์ทต่าง ๆ ซึ่งอะไหล่รถยนต์บางอย่างได้ถูกระบุเอาไว้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงหากมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ได้ใช้งานก็ตาม เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนทันที เพื่อรักษาประสิทธิภาพและสภาพรถให้คงอยู่ไว้อยู่เสมอ

2.ระบบเกียร์

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการตรวจสอบ ดูแลรักษารถยนต์ และรักษาสภาพรถที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปหรือใกล้เคียง ไม่ว่ารถคันนั้นจะอยู่กับคุณตั้งแต่เป็นรถใหม่ป้ายแดงเพียงผู้เดียวหรือการซื้อรถมือสองที่มีอายุประมาน 10 ปีขึ้นไป สิ่งที่ต้องตรวจสอบเป็นอย่างดีได้แก่ ชุดระบบเกียร์ต่าง ๆ นั่นเอง เพราะระบบเกียร์มีความสัมพันธ์กับเครื่องยนต์ในการที่จะพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งระบบเกียร์ในปัจจุบัน มีทั้งระบบเกียร์ธรรมดา ระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบเกียร์ CVT ที่มีวิธีการการบำรุงดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป เจ้าของรถทุกคนควรทำความรู้จักกับระบบเกียร์ของรถตัวเองให้ดีว่ามีชิ้นไหนที่ต้องเปลี่ยนตามเลขไมล์การใช้งานบ้าง

โดยส่วนใหญ่แล้ว อะไหล่รถยนต์ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษในส่วนของระบบเกียร์ ได้แก่ เฟืองเกียร์, โซลินอยด์เกียร์ และแผ่นคลัตช์เกียร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์ประเภทไหนต่างต้องใช้อะไหล่รถยนต์ในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตัวอะไหล่รถยนต์จะต้องมีความเหมาะสมและออกแบบมาเฉพาะตัวสำหรับการใช้งานในระบบเกียร์เฉพาะอย่างเท่านั้น ไม่ควรใช้อะไหล่เกียร์ในรูปแบบเปลี่ยนดัดแปลงแทนกัน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชุดระบบเกียร์ได้

3.ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ต้องทำการตรวจสอบให้ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ารถคันนั้นจะใช้งานมากหรือน้อยก็ตาม แต่เมื่อใดก็แล้วแต่ที่รถเก่าคันนั้นถูกใช้งานกว่า 10 ปี ยิ่งจำเป็นต้องตรวจสอบดูชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในส่วนนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ได้แก่ ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์ ซึ่งชุดเพลานี้ต่อตรงเข้ากับระบบเกียร์และห้องเครื่อง ทั้งหมดทำงานอย่างสอดประสานกันเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ด้วยพลังที่เต็มที่ ดังนั้น กับรถที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานแล้ว ความสึกหรอที่เกิดขึ้นกับชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ลดลงด้วย

สำหรับปัญหาที่มักพบเห็นอยู่เป็นประจำเมื่อรถคันใดใช้งานอย่างยาวนาน ความสึกหรอของเพลาจากการใช้งาน ทั้งในส่วนของชุดเพลาทั้งหมด, ดุมเพลาที่เชื่อมไปยังแกนล้อ และตลับลูกปืน คือสิ่งที่ต้องตรวจสอบดูคุณภาพของการใช้งานอยู่เสมอ

นอกจากนั้น ในส่วนของระบบช่วงล่างรถยนต์ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งด้วยเช่นกันที่ต้องตรวจสอบดูแลความพร้อมต่าง ๆ เอาไว้ให้ดี เพราะระบบช่วงล่างรถยนต์คือพื้นที่รับแรงทั้งหมดของรถขณะขับเคลื่อน และในส่วนของระบบเพลาและช่วงล่างรถยนต์มักเจอกับความร้อนอยู่เป็นประจำ และพื้นที่ที่มีความร้อนสูง เมื่อเจอกับอาการชื้นหรือพื้นที่เปียก สิ่งที่ตามมาคือการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่ารถที่อยู่ในแถบภาคกลางหรือภาคใต้นั้นต้องตรวจสอบช่วงล่างรถยนต์ให้ดี เพราะอาจเจอรถที่มีการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านี้แอบซ่อนมาด้วย

4.ซีลยางตามจุดรอบตัวรถ และระบบยางรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เป็นประจำ นั่นคือซีลยางต่าง ๆ ประเก็นปิดวาวล์ พร้อมทั้งยางรถยนต์สำหรับการใช้งาน ซึ่งความเสียหายของชิ้นส่วนเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงดูแลรักษารถยนต์หลักสิบหรือหลักร้อย กลับถูกปล่อยปละละเลยจนสร้างปัญหาใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรถอย่างง่าย ๆ เช่น ประเก็นน้ำมันหรือยางโอริงในห้องเครื่องปิดกั้นความชื้นไม่ได้ ทำให้ไอน้ำเข้าไปยังระบบเผาไหม้ ก่อให้เกิดความเย็นปะทะกับความร้อน ผลลัพธ์คือ การบวมพองของชุดกระบอกลูกสูบ ซึ่งถ้าเจ้าของรถตรวจสอบและทำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในทุกรอบระยะเวลา ย่อมป้องกันความสูญเสียอย่างมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนั้นแล้ว ซีลยางรอบคันรถ ทั้งยางขอบประตู หน้าต่าง ต้องใส่ใจตรวจสอบดูให้ดีว่ามีจุดไหนขาด หมดสภาพหรือไม่ เพราะแม้ซีลยางเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นอะไหล่รถยนต์ชิ้นใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ในทันที แต่ความเสียหายสะสมที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของยางเหล่านี้ ทำให้คนรักรถต้องร้องไห้มานักต่อนักแล้ว

และสุดท้ายกับยางรถยนต์ อีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เสมอ นั่นเพราะเป็นชิ้นส่วนที่ใครไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก จะสนใจก็ต่อเมื่อมันเริ่มมีปัญหาแล้ว เช่น ยางรถยนต์รั่วซึม ดอกยางรถยนต์หมด ไม่เกาะถนน ทำให้การขับขี่ไร้ประสิทธิภาพ และไร้ซึ่งความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รถเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีหรือใกล้เคียง ที่จอดเอาไว้เฉย ๆ ระบบยางรถยนต์ทุกส่วนและล้อยางรถยนต์ควรทำการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.roojai.com

จอดรถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D

ในปัจจุบันรถยนต์มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ให้เลือกใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งนอกจากลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันแล้วหลายคนมักจะเกิดคำถามตามมาว่าเมื่อจอดติดไฟแดง ใช้เกียร์อะไรดี? ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ขับขี่รถยนต์เกียร์ออโต้มักจะเข้าทั้งเกียร์ N แต่ก็มีบางคนที่เข้าเกียร์ D และเหยียบเบรกเอาไว้ จริงๆ แล้วเมื่อต้องจอดติดไฟแดง ควรใช้เกียร์อะไร เรามีคำตอบมาให้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้ หากจอดรถติดไฟแดงควรเข้าเกียร์ N หรือ D  ดี

คำตอบที่ถูกคือ หากจอดรถติดไฟแดง เพียง 10-30 วินาที ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์รถยนต์ก็ได้ สามารถใช้เกียร์ D เหมือนเดิมแล้วทำการเหยียบเบรกค้างเอาไว้ก็พอ แต่หากต้องจอดรถติดไฟแดงนานเกิน 1 นาที แนะนำว่าให้เข้าเกียร์ N ไว้พร้อมกับดึงเบรกมือจะดีกว่า เนื่องจากการเข้าเกียร์ D และเหยียบเบรกทิ้งไว้เป็นเวลานาน จะทำให้ชุดเกียร์รถยนต์สะสมความร้อนส่งผลให้เกียร์รถยนต์พังเร็ว และอาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันจากการที่เครื่องยนต์พร้อมใช้งานอยู่ตลอดอีกด้วย

รถเกียร์ธรรมดา จอดรถติดไฟแดงใช้เกียร์อะไร

หากเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ควรที่จะใช้เกียร์ว่างเหมือนกัน โดยอาจจะทำการเหยียบเบรกร่วมด้วยได้ หรือหากไม่อยากเหยียบเบรกให้ทำการดึงเบรกมือขึ้นก็พอ แต่สิ่งที่ผู้ใช้รถเกียร์ธรรมดาทุกคนมักจะทำอยู่บ่อยๆ คือ การเข้าเกียร์รถยนต์และเหยียบคลัตช์เอาไว้ตลอดเวลาเพื่อให้พร้อมออกตัว ซึ่งบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะนอกจากจะทำให้เมื่อยขาแล้ว ยังทำให้ลูกปืนคลัตช์เสื่อมสภาพเร็วกว่าอายุใช้งานอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.viriyah.com

ก่อนออกรถต้องนึกถึงแม่ย่านาง

ก่อนออกรถต้องนึกถึงแม่ย่านาง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถ ราง เรือ ที่คนไทยนับถืออย่างมาก คือ “แม่ย่านาง” เพราะจะสถิตย์คุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยในทุกเส้นทางไร้ภยันตรายใดๆ ซึ่งการไหว้บูชาแม่ย่านางประจำรถคันที่เราจะออกใหม่นั้น ส่วนใหญ่มักจะเลือกพวงมาลัยที่มีการผูกริบบิ้นสีที่แตกต่างกันประจำวันเกิด คือ

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

  • คนเกิดวันอาทิตย์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีเขียว
  • คนเกิดวันจันทร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีม่วง
  • คนเกิดวันอังคาร ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีน้ำเงิน
  • คนเกิดวันพุธ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีเหลือง
  • คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีแดง
  • คนเกิดวันศุกร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีชมพู
  • คนเกิดวันเสาร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีฟ้า

​เมื่อมีการออกรถใหม่ควรบูชาแม่ย่านาง คาถาออกรถใหม่ สำหรับไหว้แม่ย่านางรถ แล้วท่องคาถาแคล้วคลาดของ พระครูวิหารกิจจานุการ วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ดังนี้

อิติ สุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
ปะฐะวีคงคา ภุมมะเทวา ขะมามิหัง
สุจิตโต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. .asiacare-warranty

ความหมายเลขทะเบียนรถยนต์

ความหมายเลขทะเบียนรถยนต์

หลายคนมีความเชื่อหมายเลขทะเบียนรถดี ก็จะช่วยส่งเสริมและทำให้การขับขี่ปลอดภัย ดั่งจะเห็นได้ว่าคนไทยนิยมประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์มาใช้ ซึ่งตัวเลขอาจมีผลต่างๆ กับชีวิตของคุณได้ แต่จะมีผลอย่างไร ไปดูกัน…

เลข 0 ความเคลื่อนไหวที่ดี

เจ้าของรถคันนี้จะมีอุปนิสัยรักการเดินทาง หรือเสพติดการเดินทางไกล มักจะได้ใช้งานรถคู่ใจในการเดินทางไกลบ่อยกว่าคันอื่นๆ เพราะเลข 0 กับทะเบียนรถหมายถึงการเดินทาง ความเคลื่อนไหวที่ดี ไม่เจอทางตัน เเสวงหาสิ่งใหม่ๆ บนเส้นทางตลอดเวลา

เลข 1 ชัยชนะและความสำเร็จ

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ทำอะไรมักจะประสบความสำเร็จ เพราะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ คนเราหากอดทน อดกลั้นที่จะทำด้วยความตั้งใจ แม้ให้ล้มสักกี่ครั้งก็จะกลายเป็นความสำเร็จในที่สุด

เลข 2 มิตรภาพดี

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนรักการสังสรรค์ ชอบเข้าสังคม คุณจึงมีเพื่อนใหม่ตลอดเวลา มีมิตรภาพที่ดีและมีคนสนับสนุนอยู่เสมอ เมื่อใช้รถคันนี้ออกงานก็มักจะนำพาเพื่อนใหม่ๆ ให้มารู้จักกัน

เลข 3 มีทางเลือกที่ดี

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนที่มีทางเลือกที่ดีอยู่ตลอดเวลา หากต้องเดินทางไปที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างในชีวิต ก็ไม่ค่อยจะเจอทางตัน และได้พบเจอกับปลายทางที่ดี

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

เลข 4 การเดินทาง

เกี่ยวกับการเดินทาง เจอะเจอแต่ความโชคดี รับทรัพย์ รับเงิน โดยรวมเเล้วเจ้าของรถคันนี้จะดวงดีในทุกเรื่องมากกว่าคนอื่นๆ ให้ลองสังเกตตัวเอง หากวันไหนคนส่วนใหญ่ทุกข์หนัก เราจะมีความโชคดีเข้ามาช่วยให้เรารอดพ้น ปลอดภัย ใครทำอะไรกับตัวเราก็จะแพ้ภัยตัวเองไป

เลข 5 ความสุข

เจ้าของรถคันนี้มักพบเจอแต่การเดินทางที่มีความสุข เมื่อได้ใช้รถคันนี้เดินทางไกล ก็จะนำพาไปเจอสถานที่ที่ช่วยให้จิตใจคลายกังวล มีความสุขตลอดการเดินทาง

เลข 6 อำนาจ บารมี

เจ้าของรถคันนี้ มักเป็นคนที่มีลักษณะภูมิฐาน มีอำนาจบารมี ใครอยู่ด้วยก็รู้สึกเกรงใจ เพราะว่าคุณเป็นคนวางตัวดี มีคำพูดคำจาที่สามารถควบคุมคนได้ ทำให้อะไรก็ง่ายสำหรับคุณไปหมด ตำแหน่งหน้าที่การงานมีแต่ความเจริญก้าวหน้า

เลข 7 ธุรกิจการค้าดี

เจ้าของรถคันนี้ ส่วนใหญ่ชอบทำการค้า การขาย ซึ่งจะมีทิศทางที่ได้กำไรมากกว่าเสีย ทำให้คุณมักจะใช้งานรถคันนี้บ่อยครั้ง เมื่อต้องไปจัดการเรื่องที่มีผลประโยชน์ทางกำไร จงรักษารถคันนี้ให้ดี เพราะเป็นเครื่องมือทำกำไรให้คุณได้ดีมากจริงๆ

เลข 8 การเงินดี

รถคันนี้มักใช้สำหรับการออกไปหาเงินนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในการค้า การใช้เป็นเครื่องมือทำเงินต่างๆ จะทำให้คุณมีโชคในเรื่องเงิน เเละเมื่อขับรถคันนี้มักจะได้เงินแบบฟลุคๆ อยู่บ่อยครั้ง ต้องหมั่นดูแลรักษารถคันนี้ไว้ให้ดี

เลข 9 ก้าวผ่านทุกเรื่องราว

เจ้าของรถที่มีตัวเลขนี้ในป้ายทะเบียนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี หากเจอเรื่องร้าย ๆ ก็มักจะเจอหนทางที่กลับกลายเป็นดี ดังนั้นต้องหมั่นดูเเลสภาพรถยนต์ให้ดูดี สะอาดตา เพื่อรับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาอยู่เสมอ

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. komchadluek

check-credit