- ไม่เปิดเผยข้อมูลบัตรให้ใคร
ป้องกันมิจฉาชีพดูดเงินไปใช้ หรือนำข้อมูลบัตรไปใช้ในทางที่ผิดได้ - ไม่ควรตั้งหัสบัตรที่คาดเดาง่ายเกินไป
ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัวในการตั้งรหัสบัตร - สังเกตตู้ ATM ก่อนใช้งาน
หากพบอุปกรณ์แปลกปลอม ให้เปลี่ยนไปใช้ตู้ ATM เครื่องอื่น - ซื้อของออนไลน์กับร้านค้าที่น่าเชื่อถือ
เลือกเว็ปไซต์ทางการ หรือ ร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรอง - ตรวจสอบการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตอยู่เสมอ
หากพบรายการที่ผิดปกติรีบอานัดบัตร และติดต่อธนาคารทันที
ข่าวสารยานยนต์
ร้อนแล้วต้องระวังโรคลมแดด
อาการ
-อุณภูมิร่างกายสูงเกิน 40 องศา
-กระหายน้ำมาก
-ซึม ชัก หมดสติ
-ไม่มีเหงื่อออก ผิวแดง
-คลื่นใส้ อาเจียน
-วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง
การป้องกัน
*เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฉอล์ คาเฟอีน
*ดื่มน้ำให้เพียงพอ6-8แก้ว/วัน
*ไม่อยู่ในที่แจ้งนาน
*ใส่เสื้อผ้าสบายถ่ายเทสะดวก
แนวทางปฎิบัติหากพบผู้ป่วยที่มีอาการฮีทสโตรก
-พาเข้าที่ร่ม มีอากาศถ่ายเท
-ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น เพื่อระบายความร้อน
-ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก และพัดลมช่วยระบายความร้อน
ซื้อรถเงินสดหรือผ่อนดีกว่ากัน? แบบไหนตอบโจทย์คุณมากกว่า
ซื้อรถเงินสดหรือซื้อรถเงินผ่อนแบบไหนดีกว่ากัน คงเป็นคำถามสำหรับคนที่กำลังอยากจะซื้อรถสักคันสงสัยและตัดสินใจกันอยู่ ซึ่งการมีรถสักคันไม่ว่าจะเงินผ่อนหรือเงินสดมักมีค่าใช้จ่ายที่แฝงอยู่ด้วย นอกจากค่ารถแล้ว ยังมีค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันรถยนต์ พรบ. และภาษีรถยนต์ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่าง ค่าล้างรถ ค่าที่จอดรถ ค่าทางด่วน สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องพิจจารณาร่วมกันไปด้วย ซื้อรถเงินสดหรือผ่อนดีกว่ากัน? แบบไหนเหมาะกับใคร อ่านด้านล่างนี้เลย
- ข้อดีและข้อเสียของการซื้อรถเงินผ่อน
- ซื้อรถเงินผ่อนเหมาะกับใคร?
- ข้อดีและข้อเสียของการซื้อรถเงินสด
- ซื้อรถเงินสดเหมาะกับใคร?
- ซื้อรถใหม่ต้องซื้อประกันแบบไหนดีที่สุด?
ข้อดีและข้อเสียของการซื้อรถเงินผ่อน
ข้อดี
- สามารถผ่อนรถได้แม้ว่าจะมีเงินก้อนเล็ก แนะนำให้มองหา “การผ่อนชำระด้วยโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0%” เพราะถือเป็นโอกาสทองของคนที่อยากผ่อน
- ได้รับ “สิทธิพิเศษ” จากธนาคารและสินค้าในเครือ เช่น บริการดูแลรักษารถยนต์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ
- แบ่งจ่ายได้หลายงวด เลือกตามกำลังทรัพย์ของตัวเองได้เลย
- กรณีที่คุณ “เครดิตดี” ไม่ติดแบล็กลิสต์หรือเครดิตบูโร จะช่วยเบิกทางให้การกู้ผ่อนสินค้าในอนาคตทำง่ายยิ่งขึ้น
ข้อเสีย
- ต้องบริหารเงินในแต่ละเดือนให้ดี เพราะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
- ต้องเสียดอกเบี้ยในการผ่อนชำระรถยนต์ และต้องมีเงินดาวน์รถขั้นต่ำตามที่กำหนด ยิ่งดาวน์มาก ดอกเบี้ยยิ่งลดลง
- มีขั้นตอนการซื้อรถเงินผ่อนที่ยุ่งยาก อย่างการยื่นเอกสารขอสินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น
- หากผิดนัดชำระอาจทำให้เสียเครดิตได้ และแน่นอนว่าจะส่งปัญหาในการกู้ซื้อในอนาคต
- มีฐานะแค่เพียงผู้เช่าซื้อ ไปจนกว่าจะผ่อนชำระค่างวดครบทุกบาททุกสตางค์ และกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น เสียชีวิต ผู้รับมรดกจะต้องรับภาระในการผ่อนต่อ
- ต้องรอโปรโมชั่นดี ๆ เพื่อให้ได้รับส่วนลดและของแถมเพื่อความคุ้มค่ามากที่สุด
ซื้อรถเงินผ่อนเหมาะกับใคร?
ซื้อรถเงินผ่อนเหมาะสำหรับคนที่มีเงินก้อนไม่มากและไม่อยากรอจนเก็บเงินจนครบ หรือเป็นเงินร้อนหรือเงินหมุนเวียนในครอบครัว แบบนี้การผ่อนจะช่วยลดภาระมากกว่า ในทางกลับกัน ก็จะต้องเป็นคนที่บริหารเงินเก่งในแต่ละเดือน มีค่าใช้จ่ายในการผ่อนรถค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และ ค่าใช้จ่ายอื่น ที่แฝงมากับการผ่อนรถสักคัน อย่างไรก็ตามการจะซื้อรถสักคัน ควรคำนวณค่าใช้จ่ายรถยนต์ ที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละเดือน เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่หนักจนเกินไปและเราสามารถผ่อนจนปลดหนี้ได้
ข้อดีและข้อเสียของการซื้อรถเงินสด
ข้อดี
- สามารถซื้อรถได้เลย ไม่ต้องรอช่วงโปรโมชั่น
- จ่ายทีเดียวจบ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องดอกเบี้ย หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ตามมา จ่ายแค่ค่าประกันภัยรถยนต์และค่าอุปกรณ์เสริมนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น ชุดแต่งภายนอก-ภายใน ฟิล์มกรองแสง เป็นต้น
- ได้รถราคาถูกกว่าเพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
- ไม่ต้องแบกรับภาระหนี้ระยะยาว ลดปัญหาทางการเงินได้เป็นอย่างดี
- ไม่ต้องคำนวณเรื่องระยะเวลาในการผ่อน หรือกรณีที่มีปัญหาต้องจ่ายเงินล่าช้า
- ขั้นตอนการซื้อรถเงินสดจะยุ่งยากน้อยกว่า แล้วซื้อรถเงินสด ทําอย่างไร? คุณสามารถเข้าไปเลือกรถในโชว์รูม เตรียมบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน และเงินสด โอนผ่านธนาคาร หรือจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ก็เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
- ยิ่งจ่ายเต็มมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับส่วนลดหรือของแถมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ข้อเสีย
- ไม่ได้รับสิทธิพิเศษจากธนาคารและสินค้าต่าง ๆ ในเครือ
- ต้องอาศัย “ความอดทน” ในการเก็บเงินให้ครบตามจำนวนที่ต้องการ แถมยังใช้เวลาค่อนข้างนาน (ขึ้นอยู่กับสภาพการเงินของแต่ละคน)
- ไม่มีการบันทึกในเครดิตบูโร หากต้องการกู้ซื้อสิ่งต่าง ๆ ในอนาคต อาจต้องยื่นเอกสารยืนยันสถานะทางการเงิน เว้นแต่มีรายได้ประจำและไม่มีเหตุผลที่ต้องผ่อนอะไร ในส่วนนี้จะไม่ถือว่าเป็นข้อเสีย
ซื้อรถเงินสดเหมาะกับใคร?
ซื้อรถเงินสดดีไหม? การซื้อรถยนต์ด้วยเงินสด คือ การนำเงินก้อนมาซื้อในคราวเดียว ไม่มีดาวน์ ไม่มีผ่อน และไม่มีดอกเบี้ย จึงเหมาะสำหรับคนที่มีการวางแผนการเงิน เพราะต้องมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง และจะต้องไม่ใช่เงินร้อน หรือเงินที่ใช้สำหรับหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน และเงินที่สำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาในอนาคต และยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการพบเจอกับความยุ่งยากในการเตรียมเอกสารด้วย
การซื้อรถยนต์ด้วยเงินสด เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากหลายคนไม่ต้องการเสียเงินก้อน ด้วยปัจจัยและเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ทำให้หลายคนเลือกที่จะซื้อแบบเงินผ่อนมากกว่า
การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ คืออะไร?
การโอนรถ เป็นการเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถยนต์คนเดิมมาเป็นชื่อเจ้าของใหม่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการซื้อ-ขายรถยนต์ การส่งต่อรถยนต์ เช่น การส่งต่อรถยนต์ให้คนในครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หรืออื่น ๆ การดำเนินการมีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะการดำเนินคดีในทางกฎหมาย กรณีที่ขายรถยนต์ให้กับเจ้าของใหม่หรือมีการส่งต่อรถยนต์เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้มีการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่เป็นฝ่ายผิด หรือเกี่ยวข้องกับการใช้งานในเชิงที่ผิดกฎหมาย คนที่ถูกดำเนินคดีคือตัวเจ้าของรถเอง
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะตัดสินใจซื้อ-ขาย หรือส่งต่อรถยนต์ให้ใครก็ตาม เมื่อตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้โอนรถเป็นชื่อของผู้ซื้อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต
โอนกรรมสิทธิ์รถมีกี่แบบ โอนยังไงได้บ้าง?
การโอนรถยนต์หรือโอนกรรมสิทธิ์ สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ โอนตรงและโอนลอย โดยมีขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกันดังนี้
1. การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบ “โอนตรง”
การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบโอนตรง สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการที่เจ้าของเก่าและเจ้าของใหม่เดินทางไปติดต่อทำเรื่องขอโอนรถกับนายทะเบียนที่สำนักงานขนส่ง ประเด็นสำคัญคือรถยนต์คันที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของจะต้องมีสภาพตรงกับข้อมูลในใบคู่มือจดทะเบียนรถ
กรณีที่ข้อมูลไม่ตรง จำเป็นจะต้องกลับไปทำการแก้ไขข้อมูลเพิ่มเติมให้ตรงกับสภาพจริงก่อน เว้นแต่กรณีที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของจากผู้ให้เช่าไปยังผู้เช่าซื้อ เป็นผู้ครอบครองรถตามรายการจดทะเบียน พูดง่าย ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพก่อน
2. การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของแบบ “โอนลอย”
การโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ โอนลอย เป็นการโอนรถโดยเจ้าของเดิม (ผู้ขายรถ) ทำการมอบเอกสารให้กับเจ้าของคนใหม่ (ผู้ซื้อ) ไปดำเนินการเองหลังจากจบการซื้อ-ขาย ผู้ขายจะต้องทำการเซ็นชื่อกำกับไว้ที่เอกสารให้ครบ การโอนลอยรถถือเป็นการโอนรถที่ได้รับ
ความนิยมมากโดยเฉพาะในแวดวงเต็นท์รถมือสอง เนื่องจากช่วยให้ประหยัดเวลาในการดำเนินการของผู้ขาย
แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ เพราะการโอนแบบนี้มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากรถยนต์คันดังกล่าวไปทำเรื่องผิดกฎหมาย ในขณะที่ยังไม่ได้ดำเนินการโอนรถให้เสร็จเรียบร้อย เจ้าของเดิมจะต้องเป็นผู้รับผิดทางกฎหมายนั่นเอง
การโอนรถใช้เอกสารอะไรบ้าง?
อย่างที่บอกไปแล้วว่าการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ สามารถโอนให้กับบุคคลได้หลากหลาย ดังนั้นเอกสารที่จำเป็นต้องใช้จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
เอกสารโอนรถแบบโอนตรง
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถยนต์คนเก่า และเจ้าของรถยนต์คนใหม่
- สัญญาการซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว
เอกสารการโอนรถให้ญาติหรือผู้รับมรดก
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
- แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว
- สัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- สำเนาใบมรณบัตรเจ้าของรถ (กรณีเจ้าของเดิมเสียชีวิต) และคำสั่งศาลหรือพินัยกรรม พร้อมสำเนาที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ
- หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ (ผู้ขายที่เป็นเจ้าของเดิม) และของผู้รับมอบอำนาจ (ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของใหม่)
เอกสารโอนรถแบบโอนลอย
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดทะเบียนรถยนต์ฉบับจริง
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถยนต์คนเก่า และเจ้าของรถยนต์คนใหม่
- สัญญาการซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- แบบคำขอโอนและรับโอน ที่มีลายมือชื่อผู้โอนเจ้าของรถเก่า และผู้รับโอนเจ้าของรถใหม่เรียบร้อยแล้ว
- หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบ (ผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของใหม่)
ขั้นตอนการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ ใช้เวลานานมั้ย?
สำหรับการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของมีขั้นตอนการดำเนินการที่ง่ายมาก แถมยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย สามารถเลือกไปดำเนินการได้ที่สำนักงานขนส่ง ดังนี้
- สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร หากรถยนต์คันที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของมีทะเบียนที่กรุงเทพฯ หรืออยู่ที่กรุงเทพฯ สามารถเข้าไปดำเนินการที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครได้เลย
- สำนักงานขนส่งจังหวัด หากตัวเจ้าของรถและรถยนต์อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ สามารถเลือกเข้าไปดำเนินการยังสำนักงานขนส่งประจำจังหวัดที่อาศัยได้เช่นกัน
- สำนักงานขนส่งจังหวัด ที่มีระบุในคู่มือจดทะเบียนรถ หากมีความสะดวกในการเดินทาง สามารถเลือกดำเนินการที่สำนักงานขนส่งที่ระบุไว้ในใบคู่มือหรือที่มีการขอแจ้งใช้รถไว้ก็ได้ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนโอนกรรมสิทธิ์รถ
- เดินทางไปยังสำนักงานขนส่งที่สะดวก พร้อมกับนำรถยนต์ที่ต้องการโอนเปลี่ยนเจ้าของ เข้ารับการตรวจสภาพรถได้ที่สถานตรวจสภาพรถ หรืออาคารตรวจสภาพรถ ที่สำนักงานขนส่งนั้น ๆ
- ติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องโอนเปลี่ยนเจ้าของรถยนต์ พร้อมกับแนบเอกสารประกอบ และชำระค่าธรรมเนียม
- หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอรับเอกสารใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน พร้อมกับรับใบเสร็จรับเงิน เครื่องหมายการเสียภาษี และแผ่นป้ายทะเบียนรถ
สำหรับระยะเวลาในการรอเล่มตามปกติแล้วจะใช้เวลา 15 วันทำการ หลังจากที่ทำการยื่นเรื่องโอนรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะต้องทำการแจ้งนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่โอน หากไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นจะมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท
ขั้นตอนการโอนประกันรถยนต์
หลังจากดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมโอนประกันรถยนต์เพื่อให้รถคันที่เปลี่ยนเจ้าของได้รับความคุ้มครองดังเดิม ซึ่งมีรูปแบบการโอน 2 กรณีคือ การโอนประกันรถยนต์แบบไม่ระบุผู้ขับขี่ และการโอนประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ โดยมีเอกสารที่จำเป็นต้องเตรียม ดังนี้
1. การโอนประกันรถยนต์ที่ไม่ระบุผู้ขับขี่
กรณีประกันรถยนต์ที่เจ้าของรถคนเดิมทำเอาไว้แล้วไม่ได้ระบุชื่อคนขับ ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้นไหนก็ตาม เจ้าของใหม่สามารถใช้กรมธรรม์นั้นต่อได้เลย รวมถึงยังจะได้รับความคุ้มครองจนกว่าประกันจะหมดอายุ แต่ถึงอย่างนั้นควรแจ้งเปลี่ยนกับทางบริษัทประกันให้เรียบร้อย พร้อมกับเตรียมเอกสารดังนี้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของเดิม ที่มีการเซ็นยินยอมให้โอนประกันภัยแก่เจ้าของคนใหม่
- ใบซื้อ-ขายที่เป็นหลักฐานการซื้อ-ขายรถยนต์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของใหม่
2. การโอนประกันรถยนต์ที่ระบุผู้ขับขี่
กรณีที่เป็นประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ จะต้องมีการแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้ขับขี่ เพื่อให้บริษัทประกันปรับปรุงอัตราค่าเบี้ยประกันตามคุณสมบัติของเจ้าของรถคนใหม่ หากไม่ดำเนินการแจ้งเปลี่ยนให้เรียบร้อย เมื่อเกิดอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิด ผู้ที่เป็นเจ้าของกรมธรรม์เดิมจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเอง ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช่ความผิดของตนทันที
โดยการโอนประกันรถยนต์รูปแบบนี้ จะต้องเตรียมเอกสารดังนี้
- เอกสารยินยอมการโอนชื่อผู้รับผลประโยชน์ ที่เจ้าของกรมธรรม์ (ผู้ขาย) จะต้องยื่นขอกับบริษัทประกัน
- ใบซื้อ-ขายที่เป็นหลักฐานการซื้อ-ขายรถยนต์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของใหม่ และขอให้ถอดชื่อเจ้าของเดิมในกรมธรรม์ออก
ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดและขั้นตอนการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ ที่เรานำมาบอกต่อคุณอย่างละเอียดยิบ บอกเลยว่าเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังต้องการซื้อ-ขายรถ หรือส่งต่อรถยนต์อย่างแน่นอน
8 อันดับ ยี่ห้อรถหรูในไทย ปี 2023
1. Ferrari Thailand
เบอร์หนึ่งในใจของใครหลายคน กับค่ายรถเจ้าของสัญลักษณ์และฉายา “ม้าลำพอง” กับแบรนด์เฟอรารี่ที่ในตอนนี้มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยอยู่ภายใต้การดูแลและการจัดการในเครือตระกูล “อยู่วิทยา” ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
สำหรับการจำหน่ายรวมไปถึงการซ่อมบำรุง ดูแลรักษา ภายใต้ชื่อ “คาวาลลิโน มอเตอร์” ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Ferrari S.p.A และ Ferrari APAC ให้นักขับชาวไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของเฟอรารี่ที่มีความโดดเด่นที่สุดในการออกแบบ ชิ้นส่วนทุกอย่างถูกสร้างและขึ้นรูปด้วยมือ เรียกว่าแต่ละคันจะผ่านการพิถีพิถันในการสร้างสรรค์อย่างสุด ๆ จึงถือได้ว่าเป็นค่ายรถในฝันของใครหลายคน โดยรถที่ถือเป็นไอคอนเด่นของปี 2023 ในเวลานี้ได้แก่ Ferrari SF90 Spider ที่มีราคาสูงถึง 49 ล้านบาทกันเลยทีเดียว
2. Lamborghini Thailand
อีกหนึ่งค่ายรถแบรนด์ซุปเปอร์คาร์จากอิตาลีอีกหนึ่งแบรนด์ที่ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของม้าลำพองเฟอรารี่นั่นก็คือ Lamborghini ที่ได้เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้การจัดการดูแลของบริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ โดยการบริหารจัดการของ “อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ซึ่งพลพรรคเหล่านักขับบิ๊กไบค์ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เขาคือตัวแทนผู้นำเข้ารถจักรยานยนต์ดูคาติ
โดยความพิเศษของรถแลมโบกินี่คือพลังเครื่องที่แรงจัด พร้อมกับการออกแบบตัวถังที่ขึ้นรูปทำกันทีละคัน เรียกว่าเป็นความเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในรถแต่ละคันที่ถูกผลิตออกมา สำหรับสนนราคาของกระทิงดุแดนมักกะโรนีที่อยู่ในการจับจองของเหล่านักสะสมรถชาวไทยได้แก่ Lamborghini Huracán Tecnica ที่พร้อมเปิดตัวในราคาเริ่มต้น 22.98 ล้านบาท
3. McLaren Thailand
สำหรับแฟน ๆ ที่ชื่นชอบการแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ต้องไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ McLaren กับเรื่องราวของการขับเคี่ยวเพื่อตำแหน่งแชมป์โลกระหว่างแมคลาเรนและเฟอรารี่ ที่กลายเป็นตำนานให้มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ ถึงตอนนี้ได้เวลาที่แฟน ๆ รถสปอร์ตกระเป๋าหนักในไทยจะได้เป็นเจ้าของรถที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่งขันแล้วกับ McLaren Thailand
ความพิเศษของรถ McLaren คือการออกแบบรถให้เหมาะกับหลักการพลศาสตร์ ดังนั้นรถของค่ายนี้จึงเน้นไปยังความโค้งมนไม่ต้านลม สามารถทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม โดยรถรุ่นที่โดดเด่นสำหรับนำเสนอให้กับนักขับชาวไทยได้แก่ McLaren 765 LT ซึ่งมีราคาค่าตัวสูงถึง 56 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้นเพื่อเอาใจนักขับรุ่นใหม่ ทางค่ายได้ผลิตรถสปอร์ตราคาย่อมเยาลงมาอย่าง McLaren Artura ในราคา 16 ล้านบาทเป็นตัวเลือกด้วย ถูกใจรุ่นไหนก็หอบเงินไปเป็นเจ้าของกันได้สำหรับแบรนด์นี้
4. Aston Martin Thailand
ภาพลักษณ์รถหรูคู่ความอัจฉริยะที่มาพร้อมกับภาพจำของรถประจำตัวเจมส์ บอนด์ สายลับจากภาพยนตร์ระดับโลกคือมนต์เสน่ห์ที่ใคร ๆ ต่างอยากเป็นส่วนหนึ่งในความล้ำสมัยในรูปแบบนั้น และ Aston Martin พร้อมตอบโจทย์ให้กับคุณได้ ตอนนี้ในไทยได้ขยายฐานการจำหน่ายมาให้กับลูกค้าในประเทศไทยด้วยกำลังซื้อที่น่าจับตามองในงานมอเตอร์โชว์ ทำให้แอสตัน มาร์ตินพร้อมนำเสนอโมเดลรถรุ่นใหม่ที่น่าสนใจจากทางค่ายมามอบให้กับนักขับชาวไทยสัมผัสแล้ว
โดยเน้นการออกแบบในรูปทรงสปอร์ตที่มีขนาดกะทัดรัด แต่เต็มไปด้วย “พลัง” การขับเคลื่อนชั้นสูง มากไปกว่านั้นคือความหรูหราแบบขั้นสุดที่แบรนด์ไหนก็เทียบได้ยาก โดยทางค่ายยังเลือกผลิตรถในรูปแบบ SUV มาให้พิจารณาเป็นตัวเลือกอีกด้วย รุ่นที่ได้รับความสนใจจากนักขับชาวไทยได้แก่ Aston Martin Vantage V8 ที่สนนราคากะทัดรัดเพียงแค่ 17 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนใครที่ชอบความอเนกประสงค์ในรูปแบบของ SUV ต้องไม่พลาดกับรุ่นนี้ Aston Martin DBX V8 Turbo ด้วยราคาค่าตัว 19 ล้านบาท
5. Mercedes-Benz Thailand
ค่ายรถหรูระดับตำนานที่ยังคงครองใจนักขับชาวไทยอยู่เสมอมาจาก “เมืองเบียร์” เยอรมนี กับการออกแบบรถหรูสำหรับผู้บริหารรวมไปถึงรถสปอร์ตที่ออกแบบมาอย่างงดงามทันสมัย โดยความพิเศษของรถเบนซ์ Mercedes-Benz คือความแข็งแกร่ง บึกบึน ทนทายาด กับเรื่องราวของ “ ซื้อมาแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อม” เพราะชิ้นส่วนทุกอย่างถูกออกแบบมาในระดับที่เรียกว่า “ดีที่สุดจากวัสดุที่สุดยอดที่สุด” ทำให้ทุกการขับขี่รถเบนซ์ในแต่ละรุ่นนั้นเต็มไปด้วยคุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ความล้ำสมัย โดยในปี 2023 ทางค่ายได้ส่ง C220d Avantgarde รถสำหรับผู้บริหารในราคาเบา ๆ เพียง 2.73 ล้านบาทออกมาให้ได้จับจองกันแล้ว
6. BMW Thailand
อีกหนึ่งค่ายรถยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมันที่ทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี BMW ที่เป็นอีกหนึ่งค่ายรถที่เน้นความโอ่อ่าตระการตา พร้อมกับความแข็งแกร่งทนทานด้านการใช้งาน และด้วยการออกแบบที่เน้นความทันสมัยและดูโฉบเฉี่ยวสะดุดตา ทำให้รถจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยูยังคงได้รับการยอมรับในทุกรุ่นที่ถูกนำเสนอเข้ามาสู่ท้องตลาด ในเวลานี้โมเดลสำคัญของทางค่ายได้แก่ BMW XM ที่เน้นโครงสร้างที่ใหญ่โต โอ่อ่า ดูหรูหราเหนือระดับกับราคา 14.89 ล้านบาท
7. Audi Thailand
ค่ายรถที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ผลิตยนตรกรรมแห่งอนาคต” แม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นนักขับรถหรูชาวไทยเลือกรถรุ่นนี้มาใช้งานกันมากนัก แต่ด้วยค่านิยมของเศรษฐีระดับไฮเอนด์ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาต่างเลือกรถรุ่นนี้กันมากยิ่งขึ้น ด้วยความใส่ใจในการผลิตในทุกขั้นตอนทำให้รถจากค่ายออดี้ได้รับเลือกให้เป็นรถประจำตัวกันเพิ่มมากขึ้น โดยรถไอคอนประจำปี 2023 ได้แก่ The new Audi e-tron GT ที่มาจับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่เน้นความทันสมัยทั้งภายนอกและภายใน โดยสนนราคาค่าตัวที่ 6.39-6.79 ล้านบาทเท่านั้น
8. Porsche Thailand
สุดท้ายกับค่ายรถแบรนด์หรูในตำนานที่ทุกคนต่างอยากเป็นเจ้าของ กับค่ายรถพอร์ชหรือปอร์เช่ กับการออกแบบทางโครงสร้างที่มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าใครอยู่เสมอ ทำให้รถจากค่าย Porsche ได้รับการหมายตามองกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อวิ่งอยู่บนท้องถนน เรียกว่าใบจองมีมาเมื่อไหร่ก็หมดไปด้วยความรวดเร็ว ในปี 2023 ที่ออกแบบรถเพื่อตอบสนองความหลากหลาย ทั้งรถสปอร์ตไฮเอนด์ รถเปิดประทุนแบบ coupe แม้กระทั่งรถเก๋งแนวซิตี้คาร์ก็มีให้เลือก โดยรถที่ถือเป็นเรือธงของค่ายในเวลานี้ได้แก่ Porsche 911 กับราคาสุดพิเศษ 10.99 ล้านบาท
5 ขั้นตอนต่อภาษีรถยนต์ ทำง่าย ออนไลน์-ใกล้บ้าน อัปเดต ปี 2566
ภาษีรถยนต์ เป็นเรื่องที่เจ้าของรถทุกคนต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการถือครองเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของรถ สำหรับการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน เพียงแต่ต้องหมั่นตรวจเช็คภาษีรถยนต์ ทั้งในส่วนของวันเวลาหมดอายุ ขั้นตอนการเดินเรื่อง เพราะการนำรถที่ไม่ได้ต่อภาษีหรือหมดอายุแล้วออกไปใช้งานตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกจะถือว่า “เป็นรถที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้” เพราะถือว่าผิดกฎหมายจะต้องถูกปรับตามขั้นตอนกระบวนการที่เกิดขึ้น ดังนั้นในแต่ละปีเจ้าของรถควรทำการบันทึกหรือตรวจสอบภาษีรถยนต์ของตนเองอยู่เสมอว่า ถึงเวลาที่จะต่อภาษีใหม่แล้วหรือยัง
วันนี้รู้ใจแชร์ทริคและขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์ ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ได้มั้ย? ต้องเตรียมตัวเตรียมเอกสารอะไร? ต้องตรวจสภาพรถมั้ย? เป็นทริคที่ไม่ว่าจะมือใหม่หัดขับและเจ้าของรถทุกคนควรรู้ ด้านล่างนี้เลย
ทำไมต้องจ่ายภาษีรถ?
ภาษีรถยนต์ คือ การจ่ายภาษีสำหรับรถยนต์ของคุณเพื่อการใช้งานบนท้องถนน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้จากภาษีรถที่เจ้าของรถจ่ายไปนั้นนำมาบำรุงถนน ทั้งการสร้างถนนใหม่ ซ่อมแซม ปรับปรุง รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้มีความพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ และอีกหนึ่งเหตุผลคือ ป้องกันรถผิดกฎหมายเข้ามาในระบบ เช่น รถที่ถูกโจรกรรมมา เป็นต้น โดยการต่อภาษีจะต้องมีการระบุชื่อของเจ้าของรถเอาไว้เพื่อการตรวจสอบและใช้งานอย่างถูกต้อง
เรื่องควรรู้ก่อนต่อภาษีรถยนต์ในแต่ละครั้ง
การต่อภาษีรถยนต์ในแต่ละรอบที่เจ้าของรถต้องใส่ใจและหมั่นตรวจสอบวงรอบการต่อภาษีในแต่ละครั้งเพื่อให้เจ้าของรถสามารถนำรถไปต่อภาษีได้ตามช่วงเวลา ไม่เกิดความผิดพลาดใด ๆ จึงขอแนะนำขั้นตอนการต่อภาษีแบบง่าย ๆ อ่านครั้งเดียวจบ ดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบเวลาภาษีหมดอายุ
สามารถตรวจสอบเวลาหมดอายุของภาษีรถยนต์ของคุณได้จากแผ่นป้ายรูปสี่เหลี่ยมที่ได้มาหลังจากต่อภาษีในแต่ละครั้ง โดยจะมีการระบุการใช้งานและวันหมดอายุเอาไว้ซึ่งมีระยะเวลา 1 ปี นับจากการต่ออายุ
2. เผื่อระยะเวลาสำหรับการต่อภาษี
เจ้าของรถสามารถนำรถมาต่อภาษีได้ก่อน 90 วันที่ป้ายภาษีจะหมดอายุ เพื่อให้เจ้าของรถสามารถจัดการทุนทรัพย์และเวลาได้ทันท่วงทีก่อนที่ภาษีรถจะหมด
3. เตรียมเอกสารสำคัญก่อนต่อภาษี
การต่อภาษีรถยนต์ เอกสารที่ต้องเตรียมเอาไว้คือสมุดประจำรถ ซึ่งจะใช้เป็นตัวจริงหรือตัวสำเนาก็ได้ พร้อมทั้งหลักฐานการทำประกันภัยที่กฎหมายได้บังคับเอาไว้หรือ พ.ร.บ. รถยนต์นั่นเอง และเอกสารสำหรับการตรวจสภาพรถยนต์ในกรณีที่รถยนต์ที่ใช้อยู่นั้นมีอายุ 7 ปีขึ้นไป หรือรถมีการดัดแปลงสภาพจะต้องมีเอกสารฉบับนี้แนบไปทุกครั้งในการต่อภาษีรถยนต์ด้วย
4. ต่อภาษีรถยนต์ ที่ไหนดี?
ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้บริการได้ตามความสะดวกและความเหมาะสมของเจ้าของรถ ดังนี้
- สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นรถป้ายทะเบียนของจังหวัดนั้นก็สามารถยื่นเรื่องขอจ่ายภาษีได้
- ที่ทำการไปรษณีย์
- เคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
- การต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์
- ห้างสรรพสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ “ชอปให้พอแล้วต่อภาษี” (Shop Thru For Tax)
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)
- จุดบริการเลื่อนล้อต่อภาษีรถยนต์ (Drive Thru For Tax)
- จุดให้บริการตรวจสอบสภาพรถยนต์และต่อภาษีรถยนต์ โดยจะมีค่าบริการอยู่ที่ 200-300 บาท ต่อคัน
5. อัตราค่าบริการสำหรับการต่อภาษี
สำหรับอัตราค่าบริการในการต่อภาษีรถยนต์นั้นจะคำนวณจากที่นั่งรถ และขนาดของกำลังเครื่องยนต์เป็นหลัก โดยข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกได้ระบุอัตราการจ่ายภาษีไว้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเอาไว้ดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์ขนาด 1-600 ซีซี – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 50 สตางค์
- เครื่องยนต์ขนาด 601-1,800 ซีซี – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 1.50 บาท
- เครื่องยนต์ขนาด 1,801 ซีซี ขึ้นไป – คิดอัตราภาษี ซีซี ละ 4 บาท
นอกจากนั้น สำหรับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมาหลายปีแล้ว หากต้องการต่อภาษีรถ ทางกรมการขนส่งทางบกได้ออกระเบียบการมอบส่วนลดให้สำหรับการต่อภาษีให้อีกด้วย โดยมีรูปแบบของส่วนลดต่าง ๆ ดังนี้
- อายุการรถยนต์เกิน 6 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 10%
- อายุการรถยนต์เกิน 7 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 20%
- อายุการรถยนต์เกิน 8 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 30%
- อายุการรถยนต์เกิน 9 ปี รับส่วนลดค่าภาษี 40%
- อายุการรถยนต์เกิน 10 ปีขึ้นไป รับส่วนลดค่าภาษี 50%
แต่ถ้าหากเป็นรถยนต์ประเภทอื่น เช่น รถกระบะสำหรับการขนส่งสินค้า หรือรถโดยสารประจำทาง รถยนต์ที่ใช้ในการรับส่งผู้โดยสาร จะต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดเอาไว้
7 เทคนิคขับรถตอนฝนตกอย่างปลอดภัย
ช่วงฤดูฝนถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีความระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นทัศนวิสัยการมองเห็น ยิ่งฝนตกถนนลื่น ความลำบากในการควบคุมรถยิ่งมากขึ้น สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันที่ทำให้ฝนตกหนักมาก มาพร้อมกับสายลมที่รุนแรงฝนที่โหมกระหน่ำหนัก รวมถึงอาจมีน้ำท่วมอีกด้วย ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ระหว่างขับรถเราจะต้องทำยังไง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ควรต้องระวังและใส่ใจมาก เพราะยังมีประสบการณ์และเทคนิคการขับรถน้อย รู้ใจขอพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมและเทคนิคการขับรถตอนฝนตกอย่างถูกวิธีที่จะทำให้การเดินทางของคุณในทุกเส้นทางเต็มไปด้วยการขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้คุณสามารถขับรถหน้าฝนได้อย่างมีสติอีกด้วย อะไรบ้างที่ทุกคนต้องรู้ ไปดูเลย
1. ความพร้อมของรถ
สิ่งแรกที่จะทำให้การขับรถในช่วงฤดูฝนเกิดความปลอดภัยอย่างสูงที่สุด คือการเตรียมรถของคุณให้พร้อมนั่นเอง ทั้งระบบยาง ระบบเบรครถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงยางปัดน้ำฝน อุปกรณ์เล็ก ๆ แต่มีผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็นของคุณ
ดังนั้นก่อนเข้าสู่หน้าฝนแต่ละปี เจ้าของรถควรพารถเข้าเช็คสภาพรถว่ามีอุปกรณ์ส่วนใดชำรุดเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่พร้อมต่อการใช้งาน ควรทำการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านั้นในทันทีเพื่อการขับขี่ปลอดภัย อย่าปล่อยให้เข้าถึงหน้าฝนก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะบางครั้งมันหมายถึงการพารถที่ไม่มีความพร้อมเข้าไปสู่สถานการณ์อันตรายได้นั่นเอง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ที่ยังมีประสบการณ์และเทคนิคการควบคุมน้อยอาจเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้
2. ตรวจสอบเส้นทางก่อนเดินทาง
ก่อนการเดินทางในช่วงฤดูฝน หากเป็นไปได้ควรทำการตรวจสอบเส้นทางก่อนการเดินทางในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ ว่ามีการจราจรติดขัดในบริเวณนั้นมั้ยหรือกำลังมีฝนตั้งเค้าเข้ามาในพื้นที่หรือเปล่า การติดตามข้อมูลต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมให้คุณไม่ต้องเสี่ยงขับรถลุยน้ำเมื่อตกหนักมากได้
3. ลดความเร็ว
สิ่งแรกที่นักขับรถทุกคนควรทำตอนขับรถท่ามกลางสายฝนคือการลดความเร็วในการเดินทางของคุณลงมา เพราะเมื่อฝนตกในแต่ละครั้งไม่ว่าจะหนักหรือเบามีผลต่อการควบคุมและบังคับรถทั้งสิ้น โดยปกติแล้วความเร็วเดินทางที่ปลอดภัยตอนฝนตกควรอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเป็นความเร็วที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย
4. ห้ามลืมเปิดไฟหน้าหรือไฟส่องสว่าง
ไม่ว่าในจะตกหนักหรือเบาควรเปิดไฟหน้าและไฟท้ายให้สว่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น รวมไปถึงเป็นการแจ้งตำแหน่งรถของตัวเองให้กับทุกคนได้ทราบอีกด้วย
5. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ใหญ่
หากคุณสามารถเลือกเส้นทางได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในพื้นที่ที่มีต้นไม้หนาแน่นเพราะมีโอกาสที่กิ่งไม้จะหักตกลงมาใส่รถของคุณจนเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ แต่หากไม่มีทางเลือกจริง ๆ จำเป็นต้องใช้เส้นทางที่มีต้นไม้เยอะ การเลือกหยุดรถรอจนกว่าฝนจะซาแล้วค่อยเดินทางต่อไปก็จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่า
6. จอดรถเมื่อฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง
แต่หากฝนตกหนักมากจนการเปิดไฟหน้ารถไม่ช่วยให้คุณมองเห็นทางได้อย่างชัดเจน ควรจอดรถเพื่อความปลอดภัย ยิ่งในปัจจุบันมีทั้งจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน จุดจอดรถของหน่วยงานราชการอยู่เป็นจำนวนมากสามารถจอดรถหยุดพักได้ ที่สำคัญไม่ควรจอดรถไว้ริมถนนหรือพื้นที่น้ำหลาก เพราะอาจเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันตามมาได้อีกด้วย
7. ตรวจสอบอุปกรณ์รถยนต์
เมื่อถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างให้มีความพร้อมต่อการใช้งานเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะระบบเบรกกับระบบไฟว่ายังคงทำงานได้ดีอยู่มั้ย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเดินทางครั้งต่อไปนั่นเอง
ทำไมบริษัทประกันภัยต้องมอบส่วนลดประวัติดีให้ลูกค้า?
การมอบส่วนลดประวัติดีให้กับลูกค้าที่ “ขับดีไม่มีเคลม” ไม่มีปัญหาการเฉี่ยวชน บริษัทประกันภัยเล็งเห็นแล้วว่าเจ้าของรถมีความเสี่ยงน้อยที่จะสร้างการใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปีนั้น ๆ จึงสามารถนำมาเป็นส่วนลดให้ในปีถัดไป อีกทั้งความทันสมัยในการบันทึกข้อมูลในตอนนี้ แทบจะรู้ในทันทีเลยว่าเจ้าของรถมีประวัติการขับขี่ยังไง หากประวัติการขับขี่ของคุณไม่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือมีโดยที่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด สิ่งนี้จะสร้างความไว้วางใจให้กับบริษัทประกันภัยที่จะมอบส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกในปีถัดไป
อยากได้ส่วนลดประวัติดี ต้องทำยังไง?
วิธีที่คุณจะเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ส่วนลดประวัติดีง่าย ๆ คือ ต้องไม่มีการเคลม ยิ่งไม่เคลมนานเท่าไหร่ ส่วนลดประวัติดีก็จะยิ่งมากขึ้น และถ้าคุณปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ที่เรานำมาฝาก โอกาสที่คุณจะได้รับส่วนลดประวัติดีมีมากขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น
สิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถพิจารณาได้ว่าคุณคือผู้ถูกเลือกสำหรับการรับส่วนลดประวัติดี นั่นคือ วิธีการขับรถของคุณเองนั้นเป็นยังไง เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครบอกก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวของคุณเอง หากคุณคือ ผู้ขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรทุกครั้ง มีความระมัดระวังในการขับขี่อยู่เสมอ เชื่อเหลือเกินว่า ยังไงคุณมีโอกาสได้รับส่วนลดนี้แน่นอน
2. ประสบการณ์ขับขี่
ประสบการณ์ด้านการขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ บางคนแม้ว่าจะขับรถระมัดระวังแค่ไหน แต่มีประสบการณ์การขับรถน้อยเกินไป การตัดสินใจในสภาวะที่คับขัน หรือในพื้นที่ที่เส้นทางจราจรมีขนาดเล็กอาจเลี่ยงโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้น้อย ประสบการณ์ในการขับขี่จึงถูกนำมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการมอบส่วนลดประวัติดี
3. หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุ
ทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ คือการไม่นำตัวเองเข้าไปในความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่ป้องกันคุณจากอุบัติเหตุได้ไม่มากก็น้อย เช่น ถ้าง่วงนอนไม่ต้องฝืนขับ เมาแล้วไม่ควรขับ หรือหากไม่ชำนาญในเส้นทางที่จะไป การขับรถในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น
ส่วนลดประวัติดีคำนวณยังไง?
สำหรับการมอบส่วนลด ประกันรถยนต์ประวัติดี หรือ No Claim Bonus โดยส่วนใหญ่แต่ละบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขกำหนดการพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ทุนที่ใช้สำหรับการเคลมประกันว่าใช้ไปแล้วมากน้อยแค่ไหน จำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน สิ่งเหล่านี้จะถูกนำพิจารณาเป็นส่วนลดในรูปแบบของ “ประวัติดี” เอาไว้ให้เจ้าของรถได้พิจารณาสำหรับการต่อประกันภัยใหม่ด้วย
NCB จะมอบส่วนลดให้ในรูปแบบขั้นบันไดที่อาจมีความแตกต่างกันไปในส่วนของเปอร์เซ็นต์การลดแต่ก็จะไม่ค่อยหนีกันมาก ดังข้อมูลต่อไปนี้
- ส่วนลดประวัติดี 20% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลมในปีแรก
- ส่วนลดประวัติดี 30% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 2 ปี ติดต่อกัน
- ส่วนลดประวัติดี 40% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 3 ปี ติดต่อกัน
- ส่วนลดประวัติดี 50% ของเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไป เมื่อขับดีไม่มีการแจ้งเคลม 4 ปี ติดต่อกัน
นั่นหมายความว่า หากคุณเป็น “ผู้ขับที่ดี” ไม่เคยพารถไปประสบอุบัติเหตุ เฉี่ยวชน จนเกิดความเสียหายจนต้องเคลม ในปีที่ 5 คุณจะได้รับส่วนลดในการทำประกันสูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของยอดเบี้ยประกันรถยนต์ที่ต้องจ่าย ซึ่งนับว่า “เป็นส่วนลดที่สูงมาก”
ลอกสติ๊กเกอร์ติดรถทำง่ายไม่ทิ้งคราบกาว
การลอกสติ๊กเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่เก่าแล้ว หรือสติ๊กเกอร์ที่ยังดีอยู่แต่จำเป็นต้องลอกออกจากตัวถังรถ จะมีเทคนิคและวิธีการจัดการยังไง
1. ใช้ไดร์เป่าผม
อุปกรณ์ตัวช่วยอย่างแรกที่จะทำให้การลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถเป็นไปด้วยความง่ายดายและรวดเร็วคือ ไดร์เป่าผมที่ใช้อยู่ตามบ้านนั่นเอง วิธีลอกสติ๊กเกอร์นี้จะใช้การเป่าลมร้อนที่มีผลทำให้กาวสติ๊กเกอร์ละลาย ทำให้เจ้าของรถหรือผู้รับผิดชอบในการลอกสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังทำงานได้โดยง่าย โดยใช้ไดร์เป่าผมเปิดลมที่ไม่แรงมากนัก ค่อย ๆ ไล่เป่าไปตามสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ ความร้อนจากไดร์เป่าผมจะช่วยละลายกาวด้านหลังของสติ๊กเกอร์ทำให้สามารถลอกออกมาได้ หลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดในส่วนของกาวที่ยังตกค้างอยู่ให้ลอกออกไปทั้งหมด
2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือครีมอเนกประสงค์
อีกหนึ่งวิธีลอกสติ๊กเกอร์ที่น่าสนใจคือ การใช้น้ำยาขัดเคลือบต่าง ๆ หรือน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ทั้งแบบสเปรย์หรือแบบครีม การใช้น้ำยาเหล่านี้จะใช้ก็ต่อเมื่อทำการลอกสติ๊กเกอร์ออกไปแล้วและต้องการไล่ลบคราบสติ๊กเกอร์ที่ยังติดอยู่ตามตัวถังรถ ด้วยคุณสมบัติในการลดการยึดเกาะของน้ำยาอเนกประสงค์จึงทำให้การนำไปทากับสติ๊กเกอร์ที่ยังติดแน่นอยู่นั้นสามารถหลุดลอกออกมาได้ง่าย เมื่อสติ๊กเกอร์พองตัวและหลุดออก คุณก็สามารถลอกออกมาแล้วใช้น้ำยาอเนกประสงค์เช็ดซ้ำทำความสะอาดอีกทีได้
3. ใช้น้ำส้มสายชู
ถือเป็นอีกหนึ่งน้ำยาอเนกประสงค์สำหรับการขจัดคราบต่าง ๆ ได้อย่างสะอาดหมดจด น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับกัดสีรถจนก่อให้เกิดความเสียหาย สิ่งนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีอีกอย่างสำหรับการล้าง เช็ด เพื่อเอาสติ๊กเกอร์ออกจากตัวถังรถ คุณสามารถใช้วิธีการพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูเข้าไปยังจุดที่ติดสติ๊กเกอร์หรือการใช้ผ้าชุบเช็ดและค่อยขัดถูไปเรื่อย ๆ จนกว่าสติ๊กเกอร์และคราบกาวทั้งหมดจะหลุดออกไปทั้งหมด เพียงเท่านี้ สติกเกอร์ก็จะหลุดออกมาได้
Cr. Roojai
3 สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อโดนชนแล้วหนี
ในการขับรถในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัญหาที่ใคร ๆ ต่างไม่อยากพบเจอคือโดนชนแล้วหนี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แนะนำทริคในการรับมือเมื่อโดนชนแล้วหนี ดังนี้
1. ตั้งสติและเก็บหลักฐานให้ครบ
สิ่งแรกเมื่อประสบเหตุโดนชนแล้วหนี คือตั้งสติ ดูความเสียหายทุกอย่างให้ครบถ้วน เก็บหลักฐานทุกอย่างในที่เกิดเหตุเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตัวเอง ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญไม่ควรขยับรถออกจากที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะอาจมีกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์รถชนที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากคุณเลื่อนรถไปจากตำแหน่งที่เกิดเหตุในทันที อาจทำให้กระบวนการตรวจสอบทุกอย่างผิดเพี้ยนได้ การเก็บข้อมูลทุกอย่างจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อใช้ประกอบเอกสารพิจารณาสำหรับการเคลมประกันในลำดับต่อไป
2. ติดต่อตัวแทนประกันทันที
หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ให้รีบติดต่อกับบริษัทประกันภัยที่รับผิดชอบดูแลกรมธรรม์ประกันภัยในทันที โดยในเบื้องต้นจะเป็นการตรวจสอบกรมธรรม์ขั้นพื้นฐานว่ามีการดูแลคุ้มครองอยู่ในระดับไหน เพราะในปัจจุบันนี้บริษัทประกันภัยประกันทุกแห่งได้เพิ่มมาตรการด้านความคุ้มครองเอาไว้สูงมากขึ้น หากคุณได้ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือแผนอื่น ๆ ที่คุ้มครองอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีหรือในกรณีที่คู่กรณีหนีหายไปในรูปแบบนี้ ทางบริษัทยังคงสามารถดำเนินการเรื่องประกันต่อไปให้คุณได้ นอกจากนั้นแล้วบริษัทประกันภัยจะแจ้งการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป เช่น หากคุณส่งภาพถ่ายของสถานที่เกิดเหตุ และเก็บหลักฐานเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว ทางตัวแทนประกันอาจไม่จำเป็นต้องมายังที่เกิดเหตุและคุณสามารถเลื่อนหรือเคลื่อนย้ายรถไปได้
3. แจ้งความในทันที
สำหรับการเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบของการถูกชนแล้วหนี ผู้ประสบเหตุต้องรีบดำเนินการแจ้งความในทันทีเพื่อลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ นอกจากจะสามารถกู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุจากกล้องวงจรปิดของทางหน่วยงานได้อย่างรวดเร็ว การมีเอกสารในการแจ้งความนี้จะทำให้การยื่นเรื่องเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการเคลมประกันทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเอกสารที่สำคัญมากที่จะเป็นการยืนยันให้ทราบได้ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง
Cr. Roojai