เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 095-695-2897เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

ซื้อรถมือสอง ต้องดูอะไรบ้าง?

เช็กลิสต์ระดับผู้เชี่ยวชาญลดความเสี่ยง “ชนหนัก – จมน้ำ – ไมล์ย้อน – สวมทะเบียน”

รถมือสองที่ดี ไม่ได้ดูแค่ “สวย” หรือ “ผ่อนถูก” แต่ต้องดูให้ลึกอย่างน้อย 3 ชั้นสำคัญ ได้แก่

1) ความปลอดภัย รถเคยชนหนักจนโครงสร้างเสียหรือไม่

2) ความถูกต้องตามกฎหมาย เล่มทะเบียน เลขตัวถัง ภาษี และประวัติรถชัดเจนหรือไม่

3) ความคุ้มค่าในอนาคต ซ่อมแพงไหม อะไหล่หาง่ายหรือเปล่า ระบบหลักใกล้หมดอายุหรือยัง

บทความนี้จะพาคุณดูรถมือสองแบบ “เดินตรวจรถจริงทีละจุด” โดยไม่ต้องเป็นช่าง และไม่ต้องเสี่ยงโดนหลอก 

 ตรวจโครงสร้างตัวถัง

แยก “ชนเบา” กับ “ชนหนัก” ให้ออก (สำคัญที่สุด)

รถมือสองที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่รถมีรอย แต่คือรถที่ โครงสร้างเคยรับแรง เพราะส่งผลต่อความปลอดภัยและการทรงตัวโดยตรง

 วิธีดูแบบมืออาชีพ

1.1 ดูช่องไฟรอบคัน (Gap)

ฝากระโปรง / ไฟหน้า / กันชน / ประตู ต้องห่างเท่า ๆ กันทั้งสองฝั่ง ถ้าข้างหนึ่งชิด ข้างหนึ่งห่าง → มีโอกาสเคยถอดประกอบหรือชน

1.2 ดูสันน็อตที่ฝากระโปรงและบานพับประตู

รถเดิมโรงงาน สันน็อตจะคม สีไม่ถลอก ถ้ามีรอยประแจ สีแตก หรือขีดข่วน → เคยถอดชิ้นส่วน

1.3 ดูรอยเชื่อม (Spot Weld) และซีลรอยต่อ

งานโรงงานจะเป็นจุดเชื่อมถี่ สม่ำเสมอ งานซ่อมหนักมักเชื่อมไม่สวย หรือซีลปาดไม่เรียบ

1.4 ส่องเสา A / B / C และพื้นห้องเครื่อง

เสา A / B คือโครงหลักกันยุบตอนชน ถ้าเห็นยับ คลื่น หรือพ่นสีทับหนา ๆ → เสี่ยงชนหนัก

 สรุป

รถ “ชนเบา” เปลี่ยนกันชนหรือฝากระโปรงได้ แต่รถที่ “ชนถึงโครงสร้าง” ต้องระวังมาก เพราะมูลค่าตก ขับไม่ตรง และอันตราย

 ตรวจร่องรอย “จมน้ำ / น้ำท่วม” แบบไม่โดนหลอก รถจมน้ำบางคัน ล้างจนดูเหมือนใหม่ แต่ปัญหาจะตามมาเป็นปี ๆ

โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า กล่อง ECU และปลั๊กต่าง ๆ

จุดที่ช่างใช้ดูจริง

ใต้เบาะ : รางเบาะ / น็อตยึด ถ้ามีสนิมเป็นฝุ่นแดง → เสี่ยงจมน้ำ

ใต้พรม : กลิ่นอับ คราบน้ำ หรือคราบโคลน

ปลั๊กสายไฟใต้คอนโซล : คราบเขียว หรือขี้เกลือ

ช่องยางอะไหล่ท้ายรถ : คราบน้ำขังหรือสนิม

ไฟหน้า – ไฟท้าย : มีไอน้ำขังผิดปกติ

 ถ้ารถจมน้ำจริง ต่อให้วันนี้ยังใช้ได้ อีก 3–6 เดือน “ไฟโชว์ / ระบบรวน” มักมาแน่

 ตรวจ “ไมล์แท้ – ไมล์ย้อน” ด้วยตรรกะ (ไม่ใช่ดูตัวเลขอย่างเดียว) เลขไมล์อย่างเดียว เชื่อไม่ได้ ต้องดูว่า “สอดคล้องกับสภาพรถหรือไม่”

 วิธีดูแบบผู้เชี่ยวชาญ

พวงมาลัย หัวเกียร์ เบาะคนขับ ต้องสัมพันธ์กับเลขไมล์

ไมล์น้อย แต่หนังพวงมาลัยเงาวับ สึกหนัก → แปลก

ดูประวัติเข้าศูนย์ / บำรุงรักษา / สติ๊กเกอร์เปลี่ยนน้ำมัน

สแกน OBD (ถ้าร้านมี) เพื่อดูข้อมูลสะสมหรือโค้ดผิดปกติ

 ไมล์แท้ไม่สำคัญเท่า “ดูแลจริง” แต่ถ้าไมล์ย้อน = เสี่ยงโดนปั่นราคา

 ตรวจเครื่องยนต์แบบมืออาชีพ ฟังเสียง + ดูอาการ + ดูรอยรั่ว เครื่องยนต์ที่ดีต้อง สตาร์ทง่าย เดินเรียบ ไม่รั่ว ไม่ควัน ไม่ดันน้ำ

 เช็กเป็นขั้นตอน

4.1 สตาร์ทตอนเครื่องเย็น (สำคัญมาก) รถที่มีปัญหามักเริ่มออกอาการตอนเช้า

4.2 เปิดฝาน้ำมันเครื่องดูคราบ ถ้ามีคราบครีมขาวคล้ายมายองเนสจำนวนมาก อาจเสี่ยงน้ำเข้าเครื่องหรือปะเก็นฝาสูบ (บางกรณีเกิดจากขับระยะสั้น แต่ถ้าเยอะผิดปกติควรระวัง)

4.3 ดูน้ำหล่อเย็น ต้องใส สีตรงชนิด เปิดฝาหม้อน้ำ เฉพาะตอนเครื่องเย็น ดูฟองหรือคราบน้ำมัน

4.4 ดูรอยรั่วใต้เครื่อง แห้งสะอาด = ดี / เปียกน้ำมัน หรือมีคราบไหล = เตรียมงบซ่อม

4.5 ดูควันไอเสีย ดำจัด → ระบบเชื้อเพลิง / ขาวหนา → น้ำเข้าเผาไหม้ / ฟ้า → น้ำมันเครื่องเข้าห้องเผาไหม้

 ตรวจเกียร์

จุดที่คนทั่วไปพลาด แต่ค่าแก้ “หลักหมื่น–หลักแสน” เกียร์ออโต้ที่ดีต้อง เนียน ไม่หน่วง ไม่กระตุก

 วิธีทดลองขับแบบช่าง

ออกตัวเบา ๆ แล้วกระตุก → เสี่ยง

เร่งแซง 60–100 รอบขึ้นแต่รถไม่ไป → เกียร์ลื่น

เข้าเกียร์ R แล้วหน่วงหรือกระแทก → เริ่มมีอาการ

ทดลองขึ้นเนินหรือบรรทุก → จะเห็นอาการชัด

 รถบางคันขับในเมืองปกติ แต่พอขึ้นเขาหรือวิ่งไกล อาการจะออกทันที  ช่วงล่าง – พวงมาลัย – เบรก ต้อง “นิ่งและตรง” ช่วงล่างดี ไม่ใช่แค่ไม่ดัง แต่ต้องขับแล้ว ไม่พาเหนื่อย

 เช็กแบบมืออาชีพ

วิ่ง 80–100 แล้วปล่อยพวงมาลัยเบา ๆ รถไม่ควรไหล เบรกแรง รถไม่ควรปัด

ผ่านลูกระนาด มีเสียงกึกกัก = ลูกหมาก / บูช / โช้ค

พวงมาลัยฟรีมากผิดปกติ = ชุดแร็ค

 ระบบไฟฟ้าและออปชัน

จุด “จุกจิก” ที่ทำให้รำคาญที่สุด ให้ลองทุกอย่างต่อหน้าเซลล์ ไม่ต้องเกรงใจ กระจกทุกบาน / พับกระจก แอร์เย็นเร็วไหม มีเสียงคอมเพรสเซอร์หรือไม่

กล้อง / เซนเซอร์ / จอ / ปุ่มบนพวงมาลัย / ไฟเตือน ABS / Airbag / Engine ต้องไม่โชว์ค้าง

 รถไฟฟ้ารวน = ใช้จริงแล้วปวดหัว โดยเฉพาะรถที่เคยจมน้ำหรือซ่อมหนัก

 เอกสาร – กฎหมาย เล่มต้อง “สะอาด” ไม่ใช่แค่มีเล่ม

นี่คือสิ่งที่ทำให้ ซื้อแล้วโอนไม่ได้ / โดนยึด / โดนสวม

เช็กให้ครบ

เลขตัวถัง / เลขเครื่อง ตรงเล่ม

ภาษี พ.ร.บ. หมดเมื่อไหร่

รถติดไฟแนนซ์หรือไม่

ประวัติโอนผิดปกติหรือเปล่า

เคยเป็นรถเช่า รถบริษัท หรือรถประมูลหรือไม่

 เล่มสวย = โอนง่าย ขายต่อดี

 ประเมิน “ค่าใช้จ่ายหลังซื้อ” (มืออาชีพต้องคิดส่วนนี้)

รถมือสองคุ้มจริง ต้องคิดค่า รีเฟรชหลังซื้อ

เช่น เปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมด / ยาง / แบตเตอรี่ / ผ้าเบรก / สายพาน / ปั๊มน้ำ (บางรุ่น)

 ต่อให้รถดีมาก การรีเฟรชทำให้ขับสบายและปลอดภัยกว่า

 วิธีเลือกเต็นท์ / ร้าน 5 ข้อที่บอกว่า “น่าเชื่อถือ”

ร้านที่มั่นใจในรถ จะไม่กลัวการตรวจ และไม่พูดเลี่ยง

ร้านที่ดีมัก ให้ลองขับและตรวจจริง

กล้าเปิดเผยประวัติและจุดที่ทำสี

มีทีมช่างตรวจสภาพก่อนส่ง

มีเงื่อนไขรับประกันชัดเจน

มีหน้าร้านและช่องทางติดต่อจริง

สรุปเช็กลิสต์ 10 นาที ก่อนตัดสินใจซื้อ

 โครงสร้างดี ช่องไฟตรง น็อตเดิม

 ไม่จมน้ำ

 ไมล์สมเหตุสมผล

 เครื่องไม่รั่ว ไม่ควัน

 เกียร์ไม่กระตุก

 ช่วงล่างนิ่ง เบรกตรง

 ระบบไฟฟ้าใช้งานครบ

 เอกสารถูกต้อง โอนชัวร์

 คิดค่ารีเฟรชหลังซื้อ

 เลือกร้านที่รับผิดชอบ

ซื้อรถมือสอง ต้องดูอะไรบ้าง?

ซื้อรถมือสองไม่ให้โดนหลอกต้องดูอะไรบ้าง? (บทเรียนจากเคสจริงที่คนซื้อพลาดกันมากที่สุด)

รถมือสอง ไม่ใช่เรื่องผิดแต่สิ่งที่ทำให้หลายคน “เข็ดรถมือสอง” คือการ ไม่รู้ว่าควรดูอะไร และควรเชื่อใคร จากประสบการณ์หลายปีในวงการรถ เราเจอเคสเดิมซ้ำ ๆ แบบไม่เคยเปลี่ยน เช่น รถชนหนัก แต่บอกว่าแค่เฉี่ยว รถจมน้ำ แต่ล้างจนดูใหม่ ไมล์น้อย แต่สภาพสวนทาง เอกสารไม่ชัด ซื้อไปแล้วโอนไม่ได้ วันแรกผ่อนสบาย แต่ซ่อมไม่จบทั้งปี

บทความนี้ ไม่ได้เขียนจากตำราแต่เขียนจาก รถจริง เคสจริง และปัญหาที่ลูกค้าเจอจริง เพื่อให้คุณซื้อรถมือสองได้ โดยไม่ต้องเป็นช่าง และไม่ต้องเสี่ยงโดนหลอก

1️⃣ รถชนหนัก vs รถชนเบา — ต้องแยกให้ออก

นี่คือ “จุดตาย” ที่คนซื้อพลาดมากที่สุด รถชน ไม่ใช่ทุกคันน่ากลัว แต่รถที่ ชนจนโครงสร้างรับแรง คือสิ่งที่ต้องระวังจริง ๆ

วิธีดูแบบมืออาชีพ

ช่องไฟรอบคัน

ฝากระโปรง ประตู ไฟหน้า ต้องเท่ากัน ถ้าข้างหนึ่งชิด ข้างหนึ่งห่าง = มีการถอดประกอบ

สันน็อตในห้องเครื่อง / บานพับประตู รถเดิมโรงงาน น็อตจะคม ไม่มีรอยประแจ

เสา A / B / C (โครงหลักของตัวรถ) ถ้ามีคลื่น สีพ่นหนา หรือรอยย่น = เสี่ยงชนหนัก

พื้นห้องเครื่องและท้ายรถ ถ้ามีรอยยับ หรือรอยเชื่อมแปลก ๆ = ต้องระวัง

📌 รถที่ชนถึงโครง ต่อให้ซ่อมสวย จะมีผลต่อการทรงตัว ความปลอดภัย และราคาขายต่อ

2️⃣ รถจมน้ำ ดูยังไงไม่ให้โดนล้างหลอก

รถจมน้ำคือ “ระเบิดเวลา” วันนี้อาจดูปกติ แต่ปัญหามักโผล่ตามมาทีหลัง

จุดที่คนในวงการใช้ดู

รางเบาะและน็อตใต้เบาะ มีสนิมแดงเป็นผง = เคยโดนน้ำ

ปลั๊กไฟใต้คอนโซล คราบเขียว หรือขี้เกลือ = น้ำเคยเข้า

กลิ่นอับใต้พรม แม้เปลี่ยนพรมใหม่

ช่องยางอะไหล่ท้ายรถ มีคราบน้ำหรือสนิม

ไฟหน้า / ไฟท้าย มีฝ้าหรือไอน้ำขัง

📌 รถจมน้ำ ปัญหาไฟฟ้ามักตามมาไม่หยุด และค่าแก้ ไม่จบง่าย ๆ

3️⃣ ไมล์แท้หรือไมล์ย้อน อย่าดูแค่ตัวเลข

เลขไมล์อย่างเดียว เชื่อไม่ได้ ต้องดูว่า “สอดคล้องกับสภาพหรือไม่”

วิธีคิดแบบผู้เชี่ยวชาญ

ไมล์น้อย แต่พวงมาลัยเงามัน

เบาะยุบ

หัวเกียร์สึก = ผิดธรรมชาติ

ดูประวัติการเข้าศูนย์ / เปลี่ยนถ่าย บางรุ่นสามารถสแกนข้อมูลจากกล่องได้

📌 ไมล์สูงไม่ใช่ปัญหา แต่ ไมล์ย้อนคือความเสี่ยงด้านจริยธรรม

4️⃣ เครื่องยนต์ต้องดู “ตอนเครื่องเย็น”

รถหลายคันผ่านได้ตอนเครื่องร้อนแต่จะโป๊ะแตกตอนเช้า

เช็กเป็นขั้นตอน

สตาร์ทเช้า เครื่องต้องติดง่าย ไม่สั่นแรง

เสียงเดินเบาต้องเรียบ ไม่มีเสียงเคาะ

เปิดฝาน้ำมันเครื่อง ถ้ามีคราบขาวคล้ายครีมมากผิดปกติ = เสี่ยง

น้ำหล่อเย็นต้องใส ไม่มีคราบน้ำมัน

ใต้เครื่องต้องไม่เยิ้ม ไม่รั่ว

ควันไอเสียบอกอะไร

ดำจัด = ระบบเชื้อเพลิง / ขาวหนา = น้ำเข้า / ฟ้า = น้ำมันเครื่องเข้าห้องเผาไหม้

5️⃣ เกียร์ คือจุดที่ “ค่าแก้แพงที่สุด”

หลายคนไม่รู้ว่าเกียร์เริ่มพังดูยังไง

ทดลองขับให้รู้จริง

ออกตัวแล้วกระตุก = เริ่มมีอาการ / เร่งแซง รอบขึ้นแต่รถไม่ไป = เกียร์ลื่น / เข้าเกียร์ R แล้วกระแทกหรือหน่วง = เสี่ยง

ลองขึ้นเนิน จะเห็นอาการชัด

📌 เกียร์พัง = ค่าใช้จ่ายหลักหมื่นถึงหลักแสน

6️⃣ ช่วงล่าง – พวงมาลัย – เบรก

ต้อง “นิ่งและตรง” ไม่ใช่แค่ไม่ดัง แต่ต้องไม่พาเหนื่อย

วิ่งตรง รถไม่ดึงซ้ายขวา

เบรกแรง รถไม่ปัด

ผ่านลูกระนาด ไม่มีเสียงกึกกัก

พวงมาลัยไม่ฟรีเกิน

7️⃣ ระบบไฟฟ้า และออปชัน

ต้องลอง “ทุกปุ่ม” อย่าเกรงใจคนขาย รถดีต้องกล้าให้ลอง

กระจกทุกบาน

แอร์เย็นเร็วไหม

กล้อง เซนเซอร์ จอ

ไฟเตือน ABS / Airbag / Engine ต้องไม่ค้าง

8️⃣ เอกสาร ต้อง “สะอาด” ไม่ใช่แค่มีเล่ม

เอกสารคือ ความเสี่ยงทางกฎหมาย เช็กให้ครบ

เลขตัวถัง เลขเครื่อง ตรงเล่ม

รถติดไฟแนนซ์หรือไม่

ประวัติการโอนผิดปกติหรือเปล่า

ภาษี / พ.ร.บ. หมดเมื่อไหร่

📌 เอกสารไม่ชัด = ซื้อไปแล้วปวดหัว

9️⃣ ค่าใช้จ่ายหลังซื้อ (คนมืออาชีพต้องคิด)

รถมือสองทุกคันควร “รีเฟรช” เช่น

ของเหลวทั้งหมด

ยาง / แบตเตอรี่ / ผ้าเบรก

สายพาน / ปั๊มน้ำ (บางรุ่น)

รถดี + รีเฟรช = ใช้ยาวแบบสบายใจ

🔟 เลือกร้านยังไงไม่ให้โดนหลอก

ร้านที่ดี จะไม่กลัวการตรวจ ร้านที่น่าเชื่อถือมักกล้าเปิดเผยประวัติรถ ให้ลองขับจริง มีช่างตรวจสภาพก่อนส่ง มีเงื่อนไขรับผิดชอบชัด มีตัวตน ติดต่อได้จริง

สรุปสั้น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

✔ โครงสร้างไม่ชนหนัก

✔ ไม่จมน้ำ

✔ ไมล์สมเหตุสมผล

✔ เครื่อง–เกียร์ดี

✔ เอกสารชัด

✔ ร้านรับผิดชอบ

ถ้าดูครบ รถมือสองจะไม่ใช่ความเสี่ยงแต่จะเป็น ทางเลือกที่คุ้มค่าและปลอดภัย

บีบแตรไม่มีกาลเทศะ ระวังโดนจับปรับ ทำผิดกฎหมายไม่รู้ตัว!

เชื่อหรือไม่ว่าบางครั้ง เหตุวิวาทบนท้องถนนเกิดขึ้นจากเรื่องเล็ก ๆ แค่การบีบแตร แม้ว่าการ ใช้แตรบนท้องถนนจะช่วยลดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งการใช้สัญญาณเสียงดังกล่าวแบบไม่มีกาลเทศะ นอกจากจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา อย่างที่ใครเขาว่าไว้ “คนไทยอ่อนไหวกับเสียงแตรรถ” แล้ว ยังเสี่ยงผิดกฎหมายด้วยหากใช้ไม่ถูกเวลา ตามไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนโดนค่าปรับกฎหมายจราจรกันเลย

บีบแตรไม่มีกาลเทศะ ผิดกฎหมายยังไง?

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่า กับแค่การบีบแตรบนท้องถนนมันผิดกฎหมายจริง ๆ เหรอ ตอบตรงนี้เลยว่าผิดจริง โดยเป็นข้อกฎหมายที่ถูกเขียนกำกับเอาไว้ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่คนใช้รถใช้ถนนรู้จักกันเป็นอย่างดี และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น รู้ใจได้ลิสต์รายละเอียดเพิ่มเติมมาให้ ดังนี้

1. ระยะที่ควรได้ยินเสียงบีบแตร

ว่าด้วยกฎหมายจราจร หรือ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ระบุว่า “เสียงแตรรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ ต้องได้ยินในระยะที่ ‘ไม่น้อยกว่า’ 60 เมตร หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2,000 บาท” หมายความว่าหากใช้งานแตรรถยนต์เสีย ไม่ดัง หรือเสื่อมสภาพ จะถือว่าผิดกฎหมายจราจร

2. บีบแตรสามช่า-บีบลากยาว

การบีบแตรเป็นจังหวะสามช่าที่เห็นกันบ่อย ๆ ในโลกออนไลน์ รวมถึงการบีบแตรรถยนต์ลากยาว หรือส่งสัญญาณเสียงเกินกว่าเหตุที่จำเป็น ถือว่าผิดกฎหมายจราจร พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 14 ที่กำหนดไว้ว่า “การใช้เสียงสัญญาณควรใช้ในเวลาที่มีเหตุจำเป็น หรือป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น ใช้เสียงซ้ำ ๆ มากเกินไปไม่ได้ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท”

ซึ่งคนไทยหลาย ๆ คนมักคุ้นชินกับการบีบแตรทักทายเพื่อน คนรู้จัก อยากเตือน หรือแม้กระทั่งใช้เสียงแตรรถยนต์แทนเสียงด่า ซึ่งถือเป็นการใช้สัญญาณเสียงพร่ำเพรื่อ ที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย และเสี่ยงต่อการต้องควักเงินจ่ายค่าปรับตามไปด้วย เพราะฉะนั้นอยากใช้สัญญาณเสียงเพื่อเตือนจริง ๆ ก็ควรศึกษาสถานการณ์ในการใช้แตรก่อน

สถานการณ์แบบไหนที่ควรบีบแตร?

หากกำลังสงสัยว่าควรบีบแตรรถยนต์แบบไหน ถึงจะไม่ผิดกฎหมาย ไม่โดนค่าปรับ บอกไว้ตรงนี้เลยว่า การบีบแตรควรใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนก่อนเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น โดยสถานการณ์ที่ ‘ควร’ บีบแตร มีดังนี้

  • ควรใช้สัญญาณแตรรถยนต์เมื่อขับผ่านบริเวณทางโค้งหักศอก หรือทางโค้งที่มองไม่เห็นรถที่วิ่งสวน บริเวณที่มีมุมอับสายตาเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • ใช้สัญญาณเสียงด้วยการบีบแตรแบบสั้น ๆ และเบา ๆ เพื่อให้สัญญาณเตือนแบบทั่วไป เช่น ต้องการแซงรถคันหน้าที่กำลังถอยหลังมาใกล้
  • ใช้สัญญาณแตรรถยนต์ค่อนข้างดังและยาว เพื่อเป็นการให้สัญญาณแบบตั้งใจ เช่น เจอรถเปลี่ยนเลนเข้ามาในเลนของเราแบบกะทันหัน โดยไม่เปิดไฟเลี้ยว การบีบแตรลักษณะนี้ จะถือเป็นการเตือนอีกฝ่ายให้รู้ตัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการบีบแตรครั้งเดียวยาว ๆ เพราะอาจทำให้เพื่อนร่วมทางตกใจ รวมถึงเสียงแตรอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชน ไปจนถึงเหตุทะเลาะวิวาทตามมาได้

ทั้งนี้ ควรเคารพสถานที่ที่มี ‘ป้ายงดใช้เสียง’ เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล, วัด หรือเขตพระราชฐาน เพื่อไม่ให้เสียงแตรรถยนต์ ไปรบกวนในเขตดังกล่าว หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษปรับตามมาตรา 148 โดยมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาทนั่นเอง

เปลี่ยนเสียงแตร ผิดกฎหมายจราจรหรือไม่?

บางคนหันมาปรับเปลี่ยนเสียงแตรรถยนต์ให้ดังกังวาน เพื่อเรียกความสนใจ รวมถึงทำการแต่งเสียงแตรใหม่ให้กลายเป็นเสียงไซเรนฉุกเฉิน เสียงวี๊หว่อคล้ายกับรถตำรวจ บอกไว้เลยว่าแบบนี้ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 13 ที่กำหนดไว้ว่า “ห้ามใช้เสียงไซเรน เสียงนกหวีด เสียงที่แตกพร่า หรือเสียงหลายเสียงที่ผสมกัน และมีความดังมากเกินไป” หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท เนื่องจากเสียงต่าง ๆ ที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น จะใช้ได้เฉพาะกับรถในราชการ รถพยาบาล รถฉุกเฉิน หรือรถตำรวจเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องใช้เสียงแตรที่มากับรถเท่านั้น

ทำผิดกฎหมายจราจร จ่ายค่าปรับออนไลน์ได้ไหม?

ในกรณีที่ทำผิดกฎหมายจราจร และพบว่า ‘ใบสั่ง’ ได้มาจ่อถึงประตูหน้าบ้านแล้ว แต่ตัวคุณเองกลับไม่สะดวกไปจ่ายค่าปรับ สามารถเช็คผ่านช่องทางออนไลน์ได้ โดยมีวิธีการเช็คและจ่ายค่าปรับออนไลน์ดังนี้

วิธีเช็คใบสั่งจราจรทางออนไลน์

ปัจจุบันการเช็คใบสั่งสามารถทำได้สะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงกรณีที่ใบสั่งที่ได้รับมากับมือชำรุด หรือเสียหายจนไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้ ก็สามารถเช็คผ่าน “เว็บไซต์ e-Ticket ใบสั่งจราจรออนไลน์สำหรับประชาชน” ได้เช่นกัน โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ลงทะเบียนผู้ใช้งานเว็บไซต์ โดยใช้หมายเลขบัตรประชาชน/หมายเลขใบขับขี่ หรือหมายเลขทะเบียนรถ
  2. ดำเนินการเข้าสู่ระบบด้วยหมายเลขบัตรประชาชน และรหัสผ่านที่ตั้งไว้
  3. ค้นหาใบสั่งด้วยการระบุวันที่กระทำผิด จากนั้นเลือกปุ่ม “ค้นหา” (สามารถกรองข้อมูลด้วยเลขทะเบียนรถ หรือหมายเลขใบสั่งได้)
  4. หน้าจอจะปรากฏรายการใบสั่งที่เคยได้รับ โดยสามารถดูรายละเอียดของแต่ละฉบับได้ (กรณีได้รับใบสั่งมากกว่า 1 คัน จะปรากฏรายการทั้งหมดภายใต้ชื่อผู้ครองรถคนเดียวกัน)
  5. จากนั้นสามารถดำเนินการจ่ายค่าปรับออนไลน์ได้เลย

จอดรถหน้าบ้านตัวเองผิดไหม? เรื่องที่คุณอาจทำผิดโดยไม่รู้ตัว!

ปัจจุบันเรื่องที่จอดรถ เป็นปัญหาหนักอกหนักใจของคนมีรถ และคนมีบ้านมาก ๆ ถ้าจะบอกว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็ไม่เกินจริง มีกรณีให้เห็นในข่าวมาแล้วไม่น้อย เนื่องจากจอดรถขวางทางเข้าออก แล้วถ้าจอดรถหน้าบ้านตัวเองผิดไหม

จอดรถหน้าบ้านตัวเองผิดกฎหมายมั้ย?

หากพูดในแง่มุมของกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องการจอดรถที่ถูกต้องและเหมาะสม ต้องจอดในพื้นที่จอดรถของตัวเองที่มีรั้วรอบขอบชิดเท่านั้น เนื่องจากผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีสิทธิ์จอดรถในทางสาธารณะหรือพื้นที่เอกชน แม้ว่าจะเป็นถนนภายในหมู่บ้านจัดสรร ไม่อย่างนั้นจะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522  

และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 55 ประกอบมาตรา 148 ที่กำหนดห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ ซึ่งการจอดรถบนทางสาธารณะแม้จะเป็นหน้าบ้านของตัวเอง แต่สามารถสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้อื่น เนื่องจากไม่สามารถสัญจร หรือถอยรถเข้า-ออกได้อย่างสะดวก

หากฝ่าฝืนจะเกิดอะไรขึ้น?

กรณีที่จอดกีดขวางทางเข้าออก หรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้อื่น ตามที่เราบอกไปเมื่อข้างต้น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และอาจมีความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการจอดรถในพื้นที่สาธารณะ แม้จะว่าจะเป็นการจอดรถหน้าบ้านของตัวเอง ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาในภายหลังอีกด้วย

พื้นที่หน้าบ้าน ตามกฎหมายเป็นของใคร?

เราคงเคยเห็นพื้นที่หน้าบ้านตามหมู่บ้านจัดสรร ที่มีการใช้ประโยชน์ ตกแต่ง ปลูกต้นไม้ วางโต๊ะ แล้วรู้มั้ยว่า พื้นที่หน้าบ้านตรงนั้นไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเจ้าของบ้าน เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่ติดอยู่กับบ้าน ลูกบ้านคนอื่น ๆ จึงยอมให้ใช้ประโยชน์ โดยต้องไม่ผิดกฎหมาย และไม่สร้างความเดือดร้อน และสำหรับใครที่เล็งจะต่อเติมที่จอดรถหน้าบ้านบนถนนในหมู่บ้าน ถือเป็นการกระทำที่สร้างความเดือดร้อน และผิดกฎหมาย จำเป็นต้องรื้อทิ้งหากมีการร้องเรียน แนะนำว่า ที่จอดรถควรทำในพื้นที่ภายในรั้วบ้านของตัวเองดีที่สุด

จอดรถหน้าบ้านคนอื่น ผิดกฎหมายที่จอดรถมั้ย?

ในกรณีที่จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น “ผิดกฎหมาย” ด้วยเช่นกัน โดยเจ้าของบ้านที่ถูกกีดขวางทางเข้า-ออก สามารถแจ้งความเอาผิดเจ้าของรถ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 วรรคสอง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

แล้วถ้าจำเป็นต้องจอดรถหน้าบ้านคนอื่นควรทำยังไง เพื่อลดข้อพิพาทตามมา รู้ใจลิสต์วิธีมาให้เรียบร้อยแล้ว ดังนี้ 

  • หากมีความจำเป็นต้องจอดรถหน้าบ้านคนอื่น ควรทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ที่หน้ารถ
  • เมื่อรู้ว่าตัวเองจอดรถหน้าบ้านคนอื่น ทั้งจอดขวางทางเข้า-ออก, จอดซ้อนคัน ต้องมั่นใจว่ารถของคุณสามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่ควรใส่เบรกมือ
  • เข้าเกียร์ว่างหรือเกียร์ N เพื่อให้ผู้อื่นสามารถเคลื่อนย้ายรถได้สะดวก

หากไม่จำเป็นหรือไม่มีธุระเร่งด่วน ไม่ควรจอดรถหน้าบ้านคนอื่น แต่ควรจอดบริเวณพื้นที่จอดรถที่จัดเตรียมไว้ให้

พื้นที่ห้ามหยุดหรือจอดรถมีอะไรบ้าง?

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจไปแล้วว่าจอดรถหน้าบ้านคนอื่น หรือจอดรถหน้าบ้านตัวเองผิดไหม เรามาทำความเข้าใจ “พื้นที่ห้ามหยุดหรือจอดรถ” ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 55 กันต่อเลยดีกว่า โดยมีพื้นที่ห้ามหยุดหรือจอดรถดังนี้ 

  1. ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถ ในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง
  2. บนทางเท้า
  3. บนสะพานหรืออุโมงค์ 
  4. ในทางร่วมทางแยก 
  5. ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ 
  6. ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ 
  7. ในเขตปลอดภัย 
  8. ในลักษณะกีดขวางการจราจร

จอดรถในที่ห้ามจอดแล้วโดนรถชน ใครเป็นฝ่ายผิด?

กรณีจอดรถในที่ห้ามจอด จอดรถขวางทางเข้าออก หรือจอดรถหน้าบ้านคนอื่นแล้วโดนรถชน แม้จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่รถคันอื่นย่อมไม่มีสิทธิ์มาเฉี่ยวชน หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตัวรถ ดังนั้นคนที่ขับรถชนจึงเป็นฝ่ายผิด เนื่องจากขับรถโดยประมาท  

ทั้งนี้ตำรวจจราจรอาจพิจารณาการจอดรถด้วยว่า มีการจอดรถในลักษณะที่เสี่ยงต่อการถูกเฉี่ยวชนได้ง่ายหรือไม่ เช่น จอดในจุดที่อับสายตา จอดกีดขวางจราจร เพราะถ้าเป็นแบบนั้นอาจเข้าข่ายว่าคนจอดมีความประมาทร่วมด้วยเช่นกัน

โดนรถชนในที่ห้ามจอด ประกันคุ้มครองมั้ย?

เชื่อว่าหลายคนคงเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย ในกรณีไม่ได้จอดรถในพื้นที่หน้าบ้าน หรือจอดในที่ห้ามจอดแล้วโดนชน แบบนี้ประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองมั้ย? หรือเราเองจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด คำตอบคือ ถ้ารถคู่กรณีทำประกันภาคสมัครใจเอาไว้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เช่นเดิม  

แต่ในกรณีที่รถมาชนรถเราแล้วหนี หาคู่กรณีไม่เจอ หากรถยนต์ของคุณทำประกันชั้น 1 ไว้ก็หมดห่วง เพราะคุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี ในขณะที่หากรถคุณทำประกันชั้นอื่น ๆ ก็ต้องจ่ายค่าซ่อมรถด้วยตัวเอง  

แต่ขอย้ำไว้ตรงนี้เลยว่าการจอดรถในที่ห้ามจอด ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ล่าสุดได้มีการปรับเพิ่มอัตราโทษ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ สร้างความสูญเสียแก่ผู้ใช้ทาง มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท 

เพื่อความอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ขับรถชน, รถชนกลางคืน หรือโดนรถชน การซื้อประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองตอบโจทย์ ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี ที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะคุณจอดรถขวางหน้าบ้าน หรือจอดรถขวางทางเข้าออกก็ตาม ประกันรถที่รู้ใจให้คุณปรับแต่งแผนได้ตามใจ ลดสูงสุด 30%

สร้างที่จอดรถยังไง ลดปัญหาได้ดีที่สุด?

ใครว่าการสร้างที่จอดรถในบริเวณบ้านตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ บอกเลยว่าคิดผิด เพราะการสร้างที่จอดรถบริเวณหน้าบ้าน มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่จอดรถ เช่นเดียวกับการต่อเติมที่อยู่อาศัยหรืออาคาร มีทั้งแบบที่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องขออนุญาต ดังนี้ 

  • การดัดแปลงขนาดพื้นบ้าน การลด หรือขยายเนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่ง ให้มีเนื้อที่น้อยลงหรือมากกว่าขึ้น จะต้องรวมกันได้ไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน (ไม่ต้องขออนุญาต)
  • การดัดแปลงหลังคาบ้าน การลดหรือขยายเนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้น ซึ่งรวมกันจะต้องไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน (ไม่ต้องขออนุญาต)
  • ส่วนการต่อเติมที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 5 ตารางเมตรขึ้นไป จำเป็นต้องขออนุญาตจากทางหน่วยงานราชการก่อน

ระยะร่นระหว่างแนวเขตที่ดิน ในการสร้างที่จอดรถ

ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและเพื่อนบ้านโดยรอบ ตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร จึงมีการกำหนดให้การก่อสร้างหรือต่อเติมจะต้องมีระยะห่างระหว่างอาคาร และระยะร่นจากรั้วดังต่อไปนี้ 

  • ผนังด้านที่เป็นช่องเปิด ประตู หน้าต่าง ที่สูงไม่เกิน 9 เมตร ต้องอยู่ห่างจากเขตที่ดินมากกว่า 2 เมตร ส่วนผนังที่สูงเกิน 9 เมตร ให้ห่างจากเขตที่ดิน 3 เมตร
  • ผนังที่ไม่มีช่องเปิด (ผนังทึบ) ต้องห่างจากเขตที่ดินมากกว่า 0.50 เมตร ยกเว้นได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงแล้วเท่านั้น
  • ขอบเขตตัวบ้านจะต้องไม่เกิน 70% ของที่ดิน ส่วนอีก 30% ที่เหลือสามารถจัดสรรเป็นพื้นที่อื่น ๆ ได้ตามสะดวก
  • ระยะห่างจากชายคาและกันสาด ทั้ง 2 อย่างจะต้องห่างจากแนวเขตพื้นที่ไม่น้อยกว่า 0.50 เมตร

ขนาดที่จอดรถตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

ที่จอดรถยนต์ 1 คัน จะต้องมี 

  • ขนาด 2.40 x 5.00 เมตร (เป็นอย่างต่ำ)
  • ควรเผื่อพื้นที่ด้านข้างและด้านหน้าไว้ 0.70 เมตร และ 0.40 เมตร
  • เพดานควรสูงอย่างน้อย 2.50 เมตร

นอกจากนี้ยังควรให้ความสำคัญในส่วนของขนาดมาตรฐานของทางลาดด้วย โดยจะต้องไม่เกิน 1:8 เช่น ความสูงของพื้นต่างจากถนน 30 เซนติเมตร ต้องมีความยาวของทางลาดอยู่ที่ 2.40 เมตร 

เชื่อว่าหลายคนคงได้คำตอบแล้วว่าจอดรถหน้าบ้านคนอื่น หรือจอดรถหน้าบ้านตัวเองผิดไหม เพื่อป้องกันข้อพิพาทและปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา แนะนำให้จอดในที่จอดรถที่เตรียมไว้ให้จะดีที่สุด แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เพราะมีเหตุจำเป็นหรือใด ๆ แนะนำให้ขออนุญาตและแจ้งเจ้าของบ้านหรือทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ เพียงเท่านี้จะช่วยลดความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ

เคล็ดลับ ขอสินเชื่อรถยนต์ให้ผ่านง่าย อนุมัติไว​

ว่าด้วยเรื่องของสินเชื่อรถยนต์หนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ทุกวันนี้มีบทบาทสำคัญมากในหลายคนหลายครอบครัว สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถหรือใช้รถเป็นหลักประกัน แต่ในปัจจุบันมีสินเชื่อให้เลือกหลากหลาย ทำให้หลายคนเกิดความสับสน และเกิดความสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าสินเชื่อธนาคารไหน อนุมัติง่าย รู้ใจได้ลิสต์ประเด็นที่น่าสนใจมาให้เรียบร้อยแล้ว ไปทำความรู้จักพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

ขอสินเชื่อรถยนต์ยังไงให้ผ่านง่าย?

สำหรับคนที่อยากขอสินเชื่อรถยนต์ แต่กังวลกลัวว่าจะไม่ผ่าน และกำลังมองหาทริคขอสินเชื่อให้ผ่านตั้งแต่ครั้งแรก แน่นอนว่าการสร้างเครดิตที่ดีเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ และไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แต่จะต้องเตรียมตัวยังไงถึงจะผ่าน 100% ตามไปดูกันเลย

1. เอกสารต้องพร้อม

การขอสินเชื่อรถยนต์แต่ละครั้ง “เอกสาร” เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด จึงต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ โดยเอกสารที่จำเป็นของไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินแต่ละแห่งมักคล้ายกัน ดังนี้

  • สำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรข้าราชการ
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • หนังสือรับรองเงินเดือน
  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
  • สำเนาหนังสือรับรองบริษัท และวัตถุประสงค์ (สำหรับเจ้าของกิจการ)

หมายเหตุ : ในกรณีที่ทางไฟแนนซ์หรือสถาบันทางการเงินต้องใช้ผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องเตรียมเอกสารทั้งหมดที่กล่าว มาอีก 1 ชุดด้วย

2. มีรายได้หมุนเวียนสม่ำเสมอ

ถ้าเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทที่รับเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะได้เปรียบกว่าคนที่เป็นเจ้าของกิจการ เนื่องจากมีรายได้ประจำที่แน่นอน โดยไฟแนนซ์จะนำรายได้อื่น ๆ เช่น OT, ค่าคอมมิชชั่น, โบนัส ฯลฯ มาคิดเฉลี่ยรวมเข้าไปด้วย ทำให้ผ่านการอนุมัติเร็วขึ้น 

แต่เจ้าของกิจการไม่ต้องเครียดจนเกินไป และพยายามทำให้มีรายได้หมุนเวียนเป็นประจำ และมีหนังสือรับรองบริษัทชัดเจน แบบนี้จะช่วยให้ผ่านการอนุมัติได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน

3. เครดิตต้องดี

สถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ มักเช็คประวัติการชำระสินเชื่อกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ ‘เครดิตบูโร’ หากพบประวัติการชำระล่าช้า อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อได้ ดังนั้นจึงควรชำระหนี้ต่าง ๆ เช่น หนี้บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด, สินเชื่อบ้าน หรืออื่น ๆ ให้ตรงเวลา เพื่อรักษาเครดิตให้ดีอยู่เสมอ

หมายเหตุ : ไม่ควรชำระสินเชื่อใด ๆ ล่าช้าเกินกว่า 90 วัน นับตั้งแต่กำหนดชำระ เพราะโอกาสผ่านไฟแนนซ์แทบจะไม่มีเลย

4. ยอดผ่อนชำระเหมาะสมกับรายได้

ทั้งนี้ยอดผ่อนชำระรถยนต์ควรเหมาะสมกับรายได้ในแต่ละเดือนด้วย หรืออย่างน้อยควรมีรายได้มากกว่ายอดผ่อนไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ถึงจะมีโอกาสขอสินเชื่อรถยนต์ผ่าน เช่น ยอดผ่อนรถเดือนละ 15,000 บาท ควรมีรายรับต่อเดือนอย่างน้อย 30,000 บาท เป็นต้น 

แต่ถ้ารายรับไม่ถึงจริง ๆ ให้ใช้วิธีเพิ่มเงินดาวน์ เพื่อให้ให้ยอดผ่อนแต่ละเดือนน้อยลง หรือถ้าเพิ่มยอดในส่วนนี้ไม่ได้ การเปลี่ยนไปซื้อรถรุ่นอื่นที่มีราคาถูกกว่าก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน 

อยากขอสินเชื่อรถยนต์ แต่กลัวผ่อนไม่ไหวทำยังไงดี?

ไม่ว่าคุณจะกำลังวางแผนขอสินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อรถยนต์มือสอง หรือใด ๆ แต่กลัวว่าจะผ่อนไม่ไหว มาดูวิธีป้องกันปัญหาจ่ายหนี้ไม่ไหวกันก่อนดีกว่า

  1. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ด้วยการเริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้คุณมองเห็นภาพรวมทางการเงินชัดเจนมากขึ้น จากนั้นให้เตรียมเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้ดี แบ่งสัดส่วนค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่าย แยกกับค่าผ่อนหนี้ หากไม่พอต้องหาช่องทางในการเพิ่มรายได้
  2. มีเงินเหลือให้รีบโปะ หากมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือน แทนที่จะเก็บไว้เฉย ๆ หรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ให้ลองนำเงินที่เหลือนั้นไปจ่าย (โปะ) สินเชื่อรถยนต์ดู ยิ่งโปะมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้หนี้หมดเร็วมากเท่านั้น แถมยังอาจทำให้คุณปิดยอดกู้สินเชื่อส่วนบุคคลได้ไวกว่ากำหนดอีกด้วย ทันทีที่รู้ตัวว่าจ่ายหนี้ไม่ไหว ให้รีบเจรจา กรณีที่ทำทุกทางแล้ว แต่รายได้น้อยกว่ารายจ่าย หรือเจอวิกฤติทางการเงินอย่างไม่ทันตั้งตัว แนะนำให้เจรจากับเจ้าหนี้โดยตรง และบอกกล่าวถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ รวมถึงขอประนอมหนี้ เช่น ขอขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระ เป็นต้น

เลี้ยวรถแล้วหมุนพวงมาลัยสุด เสี่ยงเพลารถพังเร็ว

หมุนพวงมาลัยจนสุด ส่งผลเสียต่อรถยังไง?

ชุดบังคับเลี้ยวของรถยนต์ ประกอบด้วยแรคพวงมาลัยที่ต่อเชื่อมกับก้านของพวงมาลัยรถยนต์ไปจนถึงวงพวงมาลัย ซึ่งมีทั้งพวงมาลัยรถไฟฟ้าและพวงมาลัยพาวเวอร์สายพาน ทั้ง 2 แบบมีกระปุกน้ำมันหล่อลื่นที่ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือทำงานด้วยกลไกที่พ่วงต่อกับสายพานหน้าเครื่องรถยนต์

โดยหน้าที่หลักของ “พวงมาลัยรถยนต์” คือ ควบคุมให้รถยนต์วิ่งไปในทิศทางที่ต้องการ ใช้เพื่อจอด และใช้ในการเลี้ยวรถ การจะหมุนพวงมาลัยจนสุด ไม่ว่าจะจากซ้ายไปขวาหรือจากขวามาซ้าย แล้วเหยียบคันเร่งออกตัวเร็ว ๆ อาจทำให้ชุดบังคับเลี้ยวได้รับความเสียหายมากมาย ดังนี้

1. หมุนพวงมาลัยจนสุดแบบเร็วและแรง

การที่คุณหมุนพวงมาลัยจนสุดแบบเร็ว ๆ และแรง ๆ จะทำให้แรงดันน้ำมันพาวเวอร์เกิดการไหลย้อน อาจทำให้บริเวณจุดเชื่อมต่อของท่อน้ำมันพาวเวอร์เกิดการรั่วออกจากตัวปั๊ม หรือรั่วซึม ซีลยางสึกหรอ รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแรคพวงมาลัยเสียหาย

2. หมุนพวงมาลัยจนสุด พร้อมออกตัวอย่างรวดเร็ว

กรณีที่หมุนพวงมาลัยจนสุด พร้อมเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวอย่างรวดเร็ว จะทำให้เพลารถขับเคลื่อนล้อหน้าได้รับความเสียหาย อาจทำให้ลูกปืนของเพลาหรือระบบพวงมาลัยพาวเวอร์เสียหาย เนื่องจากรับแรงมากเกินไป ส่วนใหญ่ปัญหาที่เกิดขึ้นมักเกิดกับรถที่ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฮดรอลิก

3. หมุนพวงมาลัยขณะที่รถจอดนิ่งอยู่กับที่

หากรถจอดนิ่งอยู่กับที่แล้วคุณหมุนพวงมาลัยจนสุด จะก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว เช่น ยางรถยนต์เกิดการเสียดสีกับพื้นถนน ทำให้ดอกยางสึกหรอก่อนกำหนด หรือรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้าอาจเกิดการสึกหรอแล้วตามมาด้วยความเสียหาย เนื่องจากมอเตอร์ทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งจะตามมาด้วยค่าซ่อมแซมชุดบังคับเลี้ยวที่สูงเอาเรื่องเลยล่ะ 

4. หมุนพวงมาลัยจนสุด แล้วคาทิ้งไว้นาน ๆ

อาจทำให้ระบบบังคับเลี้ยงเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากน้ำมันพาวเวอร์เกิดความร้อนสูง ซึ่งจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฮดรอลิก มีสายพานคล้องกับปั๊มเพื่อสร้างแรงดันน้ำมันไฮดรอลิกไหลไปหล่อเลี้ยงระบบ 

เลี้ยวรถเข้าโค้งยังไงให้ปลอดภัย ห่างไกลจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน?

หนึ่งในวิธีที่คนมีรถจำเป็นต้องเรียนรู้เอาไว้หน่อย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน คือ การเลี้ยวรถเข้าโค้งให้ปลอดภัย ซึ่งเราก็ได้รวบรวมมาให้ทั้งหมด 3 วิธีเลี้ยวรถ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปทำความเข้าใจกันเลยดีกว่า 

1. ระมัดระวังในการเร่งเครื่องยนต์

หากเร่งเครื่องยนต์ในขณะเข้าโค้ง จะทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่สอดคล้องกับทางโค้ง แต่ถ้ากำลังจะผ่านจุดยอดของโค้งด้านในไปอย่างมั่นคง สามารถแตะคันเร่งเพื่อรักษาความเร็วระหว่างเข้าโค้งได้ โดยเหยียบคันเร่งเบา ๆ ให้ยังพอรู้สึกว่าสามารถควบคุมพวงมาลัยรถยนต์ได้โดยไม่เสียหลัก แต่ถ้าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ให้ถอนคันเร่งออกมาพร้อมกับแตะเบรคเบา ๆ 

2. ใช้ความระวังในการเปลี่ยนเลน

ถ้าต้องการเปลี่ยนเลน ควรเปลี่ยนเลนให้อยู่ชิดกับส่วนนอกของโค้ง เช่น หากต้องการเข้าโค้งเพื่อเลี้ยวขวา ให้เปลี่ยนเลนมาอยู่ด้านซ้ายสุด เพื่อให้เลี้ยงในทางโค้งได้เยอะขึ้น ไม่ข้ามไปเลนตรงข้าม และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการแซงบริเวณทางโค้ง

3. ไม่กระแทกเบรคขณะเข้าโค้ง

ในขณะที่ขับรถเข้าโค้งควรใช้ความเร็วต่ำ ไม่กระแทกเบรคแรง ๆ แต่ให้ค่อย ๆ แตะเบรคและชะลอรถตอนเลี้ยว ที่สำคัญไม่ควรหักพวงมาลัยกะทันหันเกินไป หากพ้นโค้งไปแล้วจึงค่อย ๆ เร่งเครื่อง เพราะถ้าหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อาจทำให้รถเสียการทรงตัว หรืออาจทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย

5 อันดับสีรถยนต์ที่ฮิตที่สุดในไทย พร้อมเหตุผลว่าทำไมจึงนิยม?

1. รถสีขาว

รถยนต์สีขาวค่อนข้างสะดุดตาบนท้องถนนทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ถือเป็นสีรถยนต์ที่ให้ความปลอดภัยอันดับต้น ๆ แถมยังเป็นสีที่ดูแพงและมีความคลาสสิก ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อมากกว่าสีอื่น ๆ 

รถสีขาวใช้นาน ๆ เสี่ยงกลายเป็นสีเหลือง

รู้มั้ย? สีรถยนต์สีขาวหากดูแลไม่ดีเสี่ยงเหลือง หากไม่อยากให้สายเกินแก้ เรามีวิธีดูแลรถสีขาวมาบอกต่อ ดังนี้

  • สีขาวเป็นสีของความสะอาด จึงควรล้างรถ ‘อย่างน้อย’ เดือนละ 1 ครั้ง หรือจะล้างทุกสัปดาห์ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล หากเป็นไปได้ควรเคลือบสีด้วย เพื่อป้องกันคราบฝุ่นเกาะและคราบฝังแน่น
  • ไม่ควรจอดกลางแจ้ง แสงแดดไม่เป็นมิตรกับรถสักเท่าไหร่ เพราะ “ความร้อน” มีผลให้สีรถเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ยังไม่ควรจอดใต้ต้นไม้ เนื่องจากยางไม้ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่ทำให้สีรถยนต์ได้รับความเสียหาย ยิ่งถ้าตกใส่รถจนเป็นคราบหนัก อาจทำให้ล้างไม่ออกได้อีกด้วย

2. รถสีดำ

อีกหนึ่งสีรถยนต์ที่ฮิตตลอดกาล มีเสน่ห์น่ามอง แถมยังเป็นสีรถที่สะท้อนถึงบุคลิกความเรียบหรู ที่สำคัญเมื่อสีรถได้รับความเสียหาย ก็สามารถซ่อมได้ง่ายกว่าสีอื่น ๆ แต่มีข้อจำกัดคือมองเห็นได้ยากในช่วงเวลากลางคืน อาจทำให้ไม่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับรถสีขาว

3. รถสีบรอนซ์เทา

เป็นโทนสีรถยนต์ที่ดูแลรักษาง่าย เนื่องจากเป็นสีโทนกลาง เวลาเลอะคราบฝุ่นละอองเล็ก ๆ ก็ดูกลมกลืนกับสีรถ นอกจากนี้ในด้านความเชื่อ ยังมองว่ารถสีบรอนซ์เทาช่วยเสริมดวงเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ การสนับสนุนเกื้อกูล และบริวารที่ดีอีกด้วย

4. รถสีน้ำเงิน

แม้จะฉูดฉาดกว่าทั้ง 3 สีก่อนหน้า แต่รถสีนี้ก็ยังถือเป็น “สีโทนกลาง ๆ” สามารถมองเห็นได้ดีในเวลากลางวัน แต่ก็มองเห็นได้ยากเมื่อขับรถกลางคืน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโทนสีเข้ม กลาง หรืออ่อน นอกจากนี้ยังถือเป็น “สีเสริมดวง” ด้านความสงบ ปลอดภัยจากเหตุร้าย 

5. รถสีแดง

รถสีแดงนอกจากจะเป็นสีที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ Super Car แล้ว ยังเป็น “สีเสริมดวง” ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ส่วนใหญ่มักนำมาเสริมดวงด้านความสงบ ปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงเช่นกัน

สีของน้ำหยดใต้ท้องรถ บอกความผิดปกติของรถได้ สีไหนอันตราย?

น้ำหยดใต้ท้องรถ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?

น้ำที่หยดลงมาจากใต้ท้องรถ ส่วนใหญ่มาจากระบบแอร์รถยนต์ เกิดจากระบบทำงานของเครื่องปรับอากาศไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน จึงล้นและไหลออกจากใต้ท้องรถยนต์ แต่ถ้าหากไหลในปริมาณมากเกินไปจนทำให้พรมฝั่งผู้โดยสารเปียกแฉะ อาจมาจากสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันในรูท่อทางน้ำทิ้งแอร์ได้

นอกจากนี้ก็ยังเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้

  • ซีลยางเสื่อมสภาพ (มักเกิดกับรถที่มีอายุการใช้งานยาวนาน)
  • แหวนรองนอตถ่ายน้ำมันเครื่องแตก หรือฉีกขาด
  • อ่างน้ำมันเกียร์รั่ว
  • รถเกิดการครูด หรือกระแทกบริเวณใต้ท้องรถ
  • การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน
  • การดัดแปลงเครื่องยนต์
  • การขันนอตยึดติดไม่แน่น

เช็คสีน้ำที่หยดลงมาเป็นน้ำจากส่วนไหน อันตรายหรือไม่?

นอกจากน้ำแอร์ที่หยดลงใต้ท้องรถแล้ว อาจมีของเหลวอื่น ๆ หยดลงมาให้เห็นได้เช่นกัน ซึ่งของเหลวอื่น ๆ เหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณมีปัญหาได้ ซึ่งจะมีวิธีสังเกตยังไงบ้าง ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

น้ำแอร์หยด

ลักษณะ: ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ใสและเหลวเหมือนน้ำเปล่าทั่วไป
ข้อแนะนำ: สามารถถอดแยกท่อทางน้ำทิ้งแอร์รถยนต์ออกจากชุดตู้แอร์ เพื่อดูว่ามีสิ่งผิดปกติเข้าไปอุดตันภายในท่อทางน้ำทิ้งแอร์หรือไม่ ในกรณีที่ไม่สะดวกทำเองสามารถส่งรถให้ช่างตรวจสอบ และลองใช้ลมเป่าทะลวงท่อได้

น้ำรั่วจากหม้อน้ำหรือหม้อพัก

ลักษณะ: สีเขียวหรือสีชมพู กลิ่นคล้าย ๆ กับมีโลหะผสม (สีของน้ำยาหม้อน้ำ)
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้มีน้ำรั่วออกจากหม้อน้ำ อาจเกิดจากระบบความเย็นในเครื่องยนต์มีปัญหา แนะนำให้ตรวจสอบถังระบายน้ำว่ามีปัญหาหรือไม่ เช่น ตรวจสอบสายน้ำยาง, รอยรั่วที่ถังระบายน้ำ, ปั๊มน้ำ รวมถึงระบบหล่อเย็น และท่อต่าง ๆ ที่เสื่อมสภาพ

น้ำมันเกียร์

ลักษณะ: น้ำเป็นสีแดง เหนียว และข้นหนืด
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเกียร์หยดใต้ท้อง รถอาจเป็นเพราะซีลเพลาขับฉีกขาด เสื่อมสภาพจนเนื้อยางแข็ง ปะเก็นอ่างน้ำมันเกียร์ หรือรั่วจากนอตถ่ายน้ำมันเกียร์ ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตรวจสอบ และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้ชุดเกียร์รถยนต์ หรือระบบเกียร์มีปัญหาตามมาได้

น้ำมันรั่วจากหม้อน้ำฉีดกระจก

ลักษณะ: มีฟองและมีกลิ่น
ข้อแนะนำ: สามารถทดสอบน้ำมันรั่ว ใต้ท้องรถที่เกิดจากหม้อน้ำฉีดกระจกได้ง่าย ๆ ด้วยการเติมน้ำยา หรือน้ำยาล้างรถลงไปผสมในหม้อน้ำฉีดกระจก ซึ่งน้ำที่รั่วจะมีฟอง และมีกลิ่นไหลออกมา

น้ำมันเครื่องรั่ว

ลักษณะ: น้ำเป็นสีใส หรือสีขุ่นดำ
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องหยดใต้ท้องรถอาจเป็นเพราะซีลอ่างน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ปะเก็นนอตถ่ายน้ำมันเครื่องแตก ฉีกขาด เสื่อมสภาพ หรือซีลไส้กรองน้ำมันเครื่องไม่เข้าที่ ไม่เข้าตำแหน่งหลังจากมีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ควรนำรถเข้าซ่อม และบอกอาการกับช่างหรือจุดรั่วตามที่เจอ เพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุด

อัปเดต 2568 ต่อภาษีรถยนต์ วันเสาร์-อาทิตย์ที่ไหนได้บ้าง?

หนึ่งในหน้าที่สำคัญของคนมีรถทุกคนคือเรื่องการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี หรือที่เรียก ๆ กันว่าต่อทะเบียนรถนั่นเอง แต่หลายคนกลับไม่สะดวกลางานไปจัดการ เลยเกิดความสงสัยว่าจะต่อภาษีรถยนต์ วันเสาร์-อาทิตย์ได้มั้ย ไปวันหยุดได้มั้ย หรือต่อภาษีออนไลน์ได้หรือเปล่า บทความนี้รู้ใจลิสต์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่จำเป็น และขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์อย่างละเอียด จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

วันเสาร์-อาทิตย์ ต่อภาษีรถยนต์ ที่ไหนได้บ้าง?

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าการต่อภาษีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สามารถดำเนินการต่อภาษีออนไลน์หรือออฟไลน์

ซื้อรถมือ2อายุไม่เกิน5ปี คุ้มกว่าซื้อป้ายแดงไหม

ราคารถใหม่ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับอดีตนับว่าสูงขึ้นมาก จนทำให้หลายคนที่คิดจะซื้อรถต่างคิดแล้วคิดอีกว่าจะก่อหนี้ก้อนโตดีหรือไม่ โชคดีที่มีตลาดรถยนต์มือสองราคาไม่แพง แต่อายุของรถก็เป็นสิ่งที่อดคิดไม่ได้ว่ามันเก่าไปไหม จะซื้อดีหรือไม่?

สำหรับรถยนต์มือสองที่มีอายุ 2-5 ปี ก็ถือว่าไม่เก่าเลยเมื่อเทียบกับอายุในตลาดรถยนต์ แถมมีความคุ้มค่ามากในราคาที่ต่ำกว่ารถยนต์ใหม่เอี่ยม อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเจอรถมือสองสภาพดี มันจะกลายเป็นรถที่มีความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างแน่นนอน เราลองมาเรียนรู้ข้อดี ข้อเสีย ของการซื้อรถยนต์อายุไม่เกิน 5 ปี พร้อมวิธีการตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อ

รถมือสองอายุเท่าไหร่ดีที่สุด

หลักการทั่วไปของการเลือกรถยนต์มือสอง คือ หารถยนต์ที่มีอายุระหว่าง 2 ถึง 5 ปี เพราะยังเป็นรถที่มีความสดใหม่ในตลาดรถยนต์ บางคันวิ่งใช้งานน้อยหลักหมื่นกิโลต้นๆ แต่ถ้าโชคดีอาจเจอรถวิ่งหลักพันโลก็เป็นได้ ดังนั้นส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถยังมีการสึกหรอตามธรรมชาติหรือการใช้งานน้อยนั่นเอง แถมยังมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดสนิมหรือการกัดกร่อนในรถที่มีอายุเพียงไม่กี่ปี

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีงบจำกัด ทำให้ไม่สามารถเอื้อมถึงรถมือสองอายุน้อยได้ ลองหันมามองพวกรถยนต์รถมือสองที่มีอายุ 5-10 ปี เพราะไม่เพียงแต่จะมีราคาถูกกว่ารถอายุ 2 ปี เท่านั้น แต่เจ้าของเดิมหลายรายก็ยังรักษารถให้รถอยู่ในสภาพดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลรักษา การเข้าเช็คระยะตรงตามเวลา หรือใช้อะไหล่แท้จากศูนย์บริการเมื่อต้องเปลี่ยนส่วนที่สึกหรอ ทำให้มันยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมแม้จะมีอายุเกิน 5 ปี แล้วก็ตาม

ข้อดีของการซื้อรถมือสองอายุไม่เกิน 5 ปี

· ประหยัดเงินมากขึ้น: สำคัญที่สุดของการซื้อรถมือสองรุ่นเก่า คือ ประหยัดเงินมากกว่าซื้อรถใหม่ เพราะรถมือสองอายุ 5 ปี ไม่เพียงแต่ราคาถูกกว่ารถใหม่เท่านั้น แต่คุณยังจะจ่ายเงินน้อยลงเมื่อซื้อประกันภัยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การผ่อนจ่ายรถยนต์มือสองอาจหมดเร็วกว่าซื้อรถยนต์ใหม่อีกด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับเงินดาวน์หรือโปรโมชั่นทางบริษัทสินเชื่อ ณ เวลานั้นๆ แต่ถ้าใครซื้อสดบอกเลยว่าคุ้มค่ากว่าแน่นอน

· ความทนทาน: ในอดีตที่ผ่านมารถยนต์มือสองมีชื่อเสียงในด้านลบและมีปัญหามากมาย แต่ตอนนี้จะไม่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะรถยนต์ที่ผลิตในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมามีความปลอดภัย แข็งแรง ประหยัดน้ำมัน และทนทานต่อการใช้งานมากขึ้น

· Aftermarket: อุปกรณ์เสริมในตลาดหลังการขายมีให้เลือกมากมาย และมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นใหม่ นอกจากนี้ คุณยังสามารถหาอุปกรณ์อัปเกรดและติดตั้งอุปกรณ์เสริมในราคาที่คุ้มค่าให้กับรถเก่าได้ เช่น ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา กล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เซ็นเซอร์ถอยหลัง รวมถึงหน้าจอให้ความบันเทิงพร้อมการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple Carplay เป็นต้น

ข้อเสียของการซื้อรถอายุไม่เกิน 5 ปี

· นวัตกรรมด้อยกว่า: การซื้อรถมือสองรุ่นเก่าอาจหมายถึงการพลาดคุณสมบัติใหม่ๆ แม้ว่า 5 ปี อาจเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมากมายกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานในรถยนต์รุ่นใหม่ ตัวอย่างเช่น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบอย่างช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน หรือเทคโนโลยีไฮบริด จะอยู่ในรถที่มีราคาแพงหรือราคาสูงกว่า 1 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันรถใหม่ไม่เกินล้านบาทก็มีมาให้เป็นมาตรฐานแล้ว

· ค่าซ่อมแพงกว่ารถใหม่: แม้ว่าเจ้าของคนก่อนจะดูแลรักษารถเป็นอย่างดี แต่ชิ้นส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเสื่อมสภาพไปตามเวลา แม้ว่าคุณจะประหยัดเงินจากการซื้อรถยนต์มือสองอายุ 5 ปี แต่ก็ยังต้องจัดสรรเงินบางส่วนเพื่อซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนรถยนต์อยู่ดี

· Warranty: การรับประกันจากผู้ผลิตก็เป็นเรื่องสำคัญ รถใหม่ในปัจจุบันที่มาจากโรงงานจะมีระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม. โดยเงื่อนไขนี้จะแตกต่างกันไปแต่ละแบรนด์ รวมถึงโปรโมชั่นค่าแรงในการนำรถเข้าเช็คบริการต่างๆ แต่ถ้าเป็นรถมือสองอายุ 2 ปี และมีการใช้งานไม่เกินจากที่กำหนดไว้ก็จะอยู่ในการรับประกันเช่นกัน แต่ถ้าเป็นรถมือสองอายุ 5 ปีขึ้นไป การรับประกันก็จะหมดไปโดยบริยาย ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมากขึ้นเมื่อเทียบกับรถใหม่

· ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง: รถยนต์อายุมากขึ้นมักมีความประหยัดในการเผาไหม้เชื้อเพลิงน้อยลง ซึ่งอาจทำให้ต้องจ่ายเงินค่าน้ำมันมากขึ้นในระยะยาว

· คุณภาพ: คุณอาจไม่สามารถทราบประวัติการใช้งานของรถอย่างชัดเจน นอกจากนี้ รถยนต์มือสองที่มีอายุมากขึ้นอาจมีประวัติการชนหรือการใช้งานที่ไม่ค่อยดี ซึ่งอาจทำให้คุณต้องเสียเวลาและเงินในการซ่อมแซมหรือดูแลรักษารถ

check-credit