เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

การดูแล รถมือสอง สีดำ จะต้องทำยังไง

รถสีดำ เป็นรถที่ดูแล้วสวยเข้ม มีเสน่ห์ลึกลับและดูมีพลังในตัว จึงไม่แปลกเลยที่มีคนนิยมใช้รถสีนี้กันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นระดับผู้บริการ หรือผู้นำ เราจะเห็นว่ามีการใช้รถสีดำเยอะมากกว่าสีอื่น แต่อย่างไรก็ตาม รถสีดำ ถือเป็นรถปราบเซียน ! เนื่องจากมันเป็นรถที่เห็นรอยเปื้อนและรอยขูดขีดได้ง่ายมาก ! คนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถ แนะนำให้เลือกรถสีอื่นดีกว่า ! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถมือสอง หากว่าเป็นรถสีดำ ต้องเลือกให้ดีตั้งแต่ตอนซื้อ ดูรอยอะไรต่างๆ ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาสะสมภายหลังให้ปวดใจ !!

วิธีการดูแล รถมือสอง สีดำ ให้สวยอยู่ได้นาน

1.       หมั่นล้างทำความสะอาดรถอย่างน้อยๆ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง แม้ว่ารถของเราจะเป็น รถมือสอง แต่การล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกอาทิตย์ช่วยคืนความสดใสให้รถของเราได้ เพราะได้รับการชำระฝุ่นผงและคราบสกปรกที่ติดผิวของรถออกไป การปล่อยทิ้งไว้นานไม่มีการล้าง ทำให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่น

2.       ในการล้างทำความสะอาดรถสีดำ เราจะต้องใช้น้ำสะอาดฉีดล้างคราบฝุ่นผงออกให้มากที่สุดก็ที่จะมีการใช้ผ้าเปียกเช็ดถูไปเบาๆ และควรเช็ดไปในทางเดียว

3.       ห้ามใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้าแห้งๆ เช็ดทำความสะอาดรถเด็ดขาด ! อันนี้สำคัญมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือ รถมือสอง เพราะการที่เราใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้ามาปัดๆ เช็ดๆ หวังว่าจะเป็นการทำความสะอาดนั้น มันเป็นตัวการทำให้เกิดรอยขีดข่วนขนาดเล็กที่เรียกว่ารอยขนแมว ! ซึ่งมันเห็นได้ชัดมากๆ ในรถสีดำ !!! ที่เป็นเช่นนี้ก็เกิดจาก เวลาที่เราปัด หรือเช็ด เอาฝุ่นผงออก มันเป็นการไปกดให้เม็ดฝุ่นเม็ดทรายขนาดเล็กที่มีความแข็งกว่าชั้นผิวด้านนอกของสีรถ ครูดไปมา ไม่ต่างจากกระดาษทราบเอาลงไปปัด ! ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ขึ้นได้

4.       ทำการเคลือบสีรถ หากเป็นการใช้แว็กซ์ทั่วไป ก็ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ แต่หากว่าสามารถทำได้ ก็ไปเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิค ที่มั่นใจได้ว่ามีความแข็งและลื่นเคลือบเอาไว้อีกชั้น เป็นการเพิ่มความมั่นใจและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสีรถ

5.       ในกรณีที่ รถมือสอง ของเรามีรอยขีดข่วนมาเยอะ ก็ควรเอาไปทำการขัดสีและทำเคลือบสีเอาไว้ ก็จะทำให้รถสีดำของเราสวยทนสวยนานมีความเงางามอยู่เสมอ

รอยขนแมวจะเห็นได้ชัดเจนถ้าเป็นรถสีดำ

รอยถลอกก็ชัด

cr. www.carszana.com/articel-detail/การดูแล-รถมือสอง-สีดำ-จะต้องทำยังไง/51/en

จอดรถพื้นลาดเอียง เป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่อรถของคุณหรือไม่ ?

ด้วยพื้นที่จอดรถของคนใช้รถเเต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีพื้นที่กว้าง บางคนแคบ หรือบางคนก็ต้องจอดรถบนพื้นที่ไม่เสมอกันหรือพื้นที่เอียงลาดไปด้านใดด้านหนึ่งด้วยความจำเป็นเนื่องจากมีพื้นที่จำกัดไม่สามารถเลี่ยงได้ จึงต้องจอดรถแบบเอียงๆ ทุกวัน คำถามคือ เเล้วถ้าเรา จอดรถบนพื้นเอียงแบบนี้ทุกวันจะส่งผลเสียใดๆ กับรถ ยาง ระบบกันกระแทกของรถหรือไม่

การ จอดรถบนพื้นเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าทางซ้ายหรือขวา แน่นอนว่าน้ำหนักของตัวรถจะต้องเทไปด้านที่ลาดเอียงมากกว่าปกติอยู่เเล้ว หากจอดติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมเกิดการสึกหรอต่อ ยาง โช๊ค สปริง ลูกหมาก ได้ง่าย หากจอดทุกๆ ระบบช่วงล่างของรถย่อมต้องมีปัญหามากกว่ารถที่จอดบนพื้นเรียบปกติ ระดัับความเอียงทีจะส่งผลกระทบต่อรถมากที่สุดคือตั้งแต่ 15 องศาขึ้นไปจนถึง 45องศา เมื่อน้ำหนักของตัวรถเทไปในตำแหน่งที่ไม่เท่ากัน ระบบช่วงล่าง เช่น ยางก็ต้องรับน้ำหนักฝั่งที่เอียงมากกว่าปกติ หากจอดเป็นระยะเวลานาน หรือจอดเป็นประจำ ยางข้างที่รับน้ำหนักบ่อยๆ จะมีปัญหาบวมได้ง่ายกว่าข้างที่ไม่ต้องรับน้ำหนัก เเละรถเสื่อมเสียสมดุลย์ ไม่เท่ากัน หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า กินยาง

นอกจากเรื่องยางเเล้วการ จอดรถบนพื้นเอียงเป็นเวลานานจะทำให้รถสูญเสียสมดุลโครงสร้างของรถจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะรถยนต์ที่โครงสร้่างไม่มีคลัชซีจะยิ่งส่งผลต่อตัวรถมีโอกาสที่โครงสร้างรถเสียหาย บิดตัว รถเสียการทรงตัว รถเอียงตามมา

ดังนั้นการ จอดรถบนพื้นเอียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาย่อมส่งผลเสียต่อรถแต่หากเป็นการจอดแบบชั่วคราวยังไม่ต้องวิตกเรื่องนี้มากนักเพียงแค่อย่าลืมใส่เกียร์ P ยกเบรกมือขึ้น หรือหากเป็นการจอดบนพื้นลาดเอียงหน้าลอย หรือหน้ารถกดลงพื้น ควรหาก้อนหินมาหนุุนที่ล้อด้วย เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของรถในเหตุสุดวิสัย

cr.www.รถนิยม.com/จอดรถพื้นลาดเอียง-เป็นเวลานาน-ส่งผลเสียต่อรถของคุณหรือไม่-สาระน่ารู้เรื่องรถ

อายุการใช้งานของ ยางรถยนต์ ไม่ควรใช้เกิน 2 ปี จริงหรือไม่

ยางรถยนต์ ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ หากเราใช้งานไปสักระยะ ยางรถยนต์ ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ ตามวันและระยะเวลาของการขับขี่ใช้งาน แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่า ยางรถยนต์ มีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของแต่ละบุคคล ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร อายุการใช้งานของยางรถยนต์ไม่ควรเกิน 2 ปี จริงหรือไม่ แล้วถ้าใช้ไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลายคนก็ตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว ยางรถยนต์ มีอายุการใช้งานกี่ปีกันแน่ ซึ่งความเป็นจริงแล้วอายุการใช้งานของยางรถยนต์ เราสามารถสังเกตได้จาก 3 ข้อดังนี้

  • ความลึกของดอกยาง ต้องมีความลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ไม่ควรตำกว่า 3 มิลลิเมตร เพราะดอกยางมีหน้าที่ช่วยรีดน้ำออก เพื่อให้หน้ายางได้สัมผัสกับพื้นถนนได้เป็นอย่างดี
  • ความชำรุดของโครงสร้างยาง เช่น รอยแผลใหญ่ที่เกิดจากถูกของมีคม และโครงสร้างของหน้ายางโดยเฉพาะแก้มยางบอบช้ำที่เกิดจากปีนขอบข้างทางอย่างแรงจนสะเทือนไปถึงกระทะล้อชำรุด หรือถูกบดในขณะที่ขับรถในระยะทางไกลโดยไม่มีลมยาง
  • อายุของยาง นับตั้งแต่วันผลิต ไม่ควรเกิน 6 ปี สำหรับยางรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงพอ

cr. www.รถนิยม.com/อายุการใช้งานของ-ยางรถยนต์-ไม่ควรใช้เกิน-2-ปี-จริงหรือไม่-สาระน่ารู้เรื่องรถ/

ดูรถมือสองไม่ให้ถูกย้อมแมว

ถ้าหากเราไม่มีความรู้เรื่องรถมือสอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัท หรือเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ ว่ารถยนต์คันดังกล่าวที่เราต้องการซื้อนั้น อยู่ในสภาพพร้อมงานหรือไม่ หรือรถคันนั้นเคยมีอุบัติเหตุชนหนัก น้ำท่วม หรือตัวเครื่องยนต์นั้น ยังคงดีพร้อมใช้งานหรือไม่ ถ้าหากเราไม่มีความชำนาญพอ จึงต้องปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์โดยเฉพาะมาตรวจสอบให้

วิธีดูรถมือสอง

ในส่วนของตัวถังรถยนต์นั้น จะต้องไม่มีการชนหนัก อุบัติเหตุ พลิกคว่ำ จนถึงตัวคานรับของตัวรถยนต์ และในส่วนของเครื่องยนต์เครื่องยนต์จะต้องมีการทำงานของระบบเครื่องยนต์เดินเรียบปกติ

อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องจะต้องมีการใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีการขาดหรือชำรุด หากอุปกรณ์ภายในห้องเครื่องมีการชำรุดหรือไม่ทำงานตัวใดตัวหนึ่ง จะส่งผลทำให้เครื่องยนต์สามารถสะดุดหรือเกิดความเสียหายในขณะเครื่องยนต์ทำงานอยู่ ทำให้เครื่องพังได้

และที่สำคัญของเหลวภายในเครื่องยนต์จะต้องหมั่นตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้น้ำในหม้อน้ำ หรือน้ำมันเครื่องขาดไปโดยเด็ดขาด เพราะจะส่งผลโดยตรงกับตัวเครื่องยนต์โดยตรง

หรือสามารถสอบถามวิธีการดูรถได้ที่ https://lin.ee/y7VxUsw

การเปลี่ยนยางรถยนต์ จำเป็นมั้ยต้องเปลี่ยนทั้ง 4 ล้อ

การเปลี่ยนยางรถยนต์ จำเป็นมั้ยต้องเปลี่ยนทั้ง 4 ล้อ

เชื่อว่ามีหลายท่านสงสัยเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนล้อ ว่า สามารถเปลี่ยนทีละล้อได้หรือไม่ จะได้ประหยัด หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนให้ครบทุกล้อพร้อมๆ กัน มาดูคำตอบกันครับ

การเปลี่ยนยางรถยนต์ ผู้ใช้รถก็จะต้องมองหายางที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาเปลี่ยนพร้อมกันทีเดียว ให้ทั้ง 4 ล้อใช้ยางในขนาด, แบรนด์ และ รุ่นเดียวกัน หากมีปัญหาติดขัด งบไม่พอที่จะเปลี่ยนยางพร้อมกันทั้ง 4 เส้น การเปลี่ยนยางรถยนต์ไปก่อน 2 เส้นก็เป็นสิ่งที่พึงนิยมทำได้เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเอายางคู่ใหม่ที่ได้มาไปใส่ที่ล้อหน้าก่อน เพราะว่าล้อหน้าเป็นคู่ที่ทำงานหนักกว่า 2 ล้อหลังนั่นเอง

นั่นเพราะ ยางรถยนต์ที่ใส่อยู่กับล้อหน้า มีอัตราการเสื่อมสภาพสูงกว่าล้อหลัง เนื่องจาก ล้อหน้า จะเป็นล้อที่ทั้ง เลี้ยว, ขับเคลื่อน, เผชิญกับสภาพถนนที่เป็นหลุมบ่อก่อนล้อหลังเสมอ แถมยังต้องแบกรับน้ำหนักของเครื่องยนต์เอาไว้ด้วย ดังนั้น หลักการทั่วไปจึงควรเอายางใหม่ ไปใช้กับล้อคู่หน้าก่อน

ขณะเดียวกัน หากมีกรณีที่อาจจะนำมาซึ่งคำถามว่า จะทำการเปลี่ยนยางแค่เส้นเดียวได้หรือไม่ อย่างเช่นเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย ยางเส้นใดเส้นหนึ่ง โดนตะปูตำ หรือว่า ยางรั่ว สามารถซ่อมโดยการปะยางโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ ยกเว้นเป็นรอยฉีกขาดขนาดใหญ่เกินไป หรือการเสียหายบริเวณของแก้มยาง ซึ่งหากนำมาใช้งานต่อก็จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ครับ

สรุป คือ การเปลี่ยนยางรถยนต์ ควรเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 ล้อจึงจะดีที่สุดครับ เพราะจะได้นับอายุยางรถยนต์ได้เท่ากัน และยางแต่ละเส้นจะมีอายุการใช้งานเท่ากันด้วย ที่สำคัญดอกยางยังเต็มกว่า และหากยางที่ใส่อยู่กับล้อที่คู่กัน มีสภาพความสมบูรณ์แตกต่างกันมากไป ก็อาจจะส่งผลต่อการใช้งานไม่มากก็น้อยได้ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนควรหมั่นสังเกต และใส่ใจสภาพดอกยางของล้อทั้ง 4 สม่ำเสมอ

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202124.php

จอดรถตากแดดเป็นเวลานานมีผลเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่ ?

หากจำเป็นต้องจอดรถตากแดดทุกวันจะมีผลเสียอย่างไรกับรถยนต์ อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนไหนจะได้รับอันตรายและจะมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง

ทุกวันนี้แสงแดดในประเทศไทยนั้นร้อนระอุจนทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างเรานั่นก็คือรถยนต์ ด้วยปริมาณรถที่มากขึ้นสวนทางกับที่จอดรถในร่มมีไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องจอดรถกลางแดดอันร้อนระอุ แต่รู้หรือไม่ว่ารถจอดตากแดดทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก การจอดรถตากแดดนาน ๆ อาจทำให้อะไหล่รถบางชิ้นเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ วันนี้เราจะพามาดูว่าส่วนไหนของรถบ้างที่มีโอกาสพังเร็วเมื่อโดนแดดนาน ๆ

การจอดรถตากแดด ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

          ด้วยความร้อนจากแสงแดดในปัจจุบันที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงกลางวันอยู่ที่ 36-40 องศาเซลเซียส การจอดรถตากแดดย่อมทำให้รถยนต์มีอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในรถที่ปิดสนิท เพราะความร้อนจะถูกสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ตัวรถก่อนถ่ายเทเข้าสู่ห้องโดยสารที่เป็นพื้นที่ปิด โอกาสที่จะเกิดความเสียหายภายในห้องโดยสารก็มีมากขึ้น แม้จะไม่เกิดในทันทีแต่ก็เป็นการลดอายุการใช้งานของอะไหล่ต่าง ๆ ให้มีอายุสั้นลงกว่าปกติ

1. สีรถยนต์

          จุดแรกที่ต้องสัมผัสกับแสงแดดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ขับรถออกจากบ้าน ยิ่งถ้าต้องจอดรถไว้กลางแจ้งเป็นเวลานาน รังสียูวีอาจทำให้แว็กซ์หรือสารเคมีที่ใช้ในการเคลือบสีรถให้ดูเงางามเสื่อมคุณภาพลง ส่งผลให้สีรถไม่เงางาม ดูหมองลง

2. ยางรถยนต์

          แม้จะเป็นการจอดรถอยู่เฉย ๆ แต่การที่ยางรถยนต์ต้องอยู่กลางแจ้ง ทนต่อความร้อนเป็นระยะเวลานาน ๆ ย่อมส่งผลให้ยางเสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น ไม่ต่างจากการขับรถในเวลาปกติเลย

3. ฟิล์มกรองแสง

          อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องรองรับกับแสงอาทิตย์โดยตรง แม้ฟิล์มกรองแสงจะมีหน้าที่ป้องกันความร้อนจากแสงแดดและรังสียูวี แต่การที่ฟิล์มต้องเจอกับความร้อนในทุก ๆ วันเป็นเวลานานก็อาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงกว่าปกติ

4. ห้องโดยสาร

          บางคนอาจบอกว่าการจอดรถตากแดดเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียภายในห้องโดยสารไปในตัว แต่วิธีนี้ส่วนใหญ่จะมีการเปิดประตูรถเพื่อระบายความร้อน แต่การจอดรถตากแดดเป็นเวลานานโดยที่ทุกอย่างปิดสนิท จะทำให้เกิดความร้อนสะสมภายในห้องโดยสาร ส่งผลให้วัสดุต่าง ๆ ที่เป็นหนัง ยางหรือพลาสติก เสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น

5. เครื่องยนต์

          ทุกครั้งที่สตาร์ตเครื่องและขับรถ เครื่องยนต์จะต้องเจอกับสภาวะอุณหภูมิที่สูงอยู่แล้ว แต่การจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน เครื่องยนต์จะได้รับผลกระทบที่แตกต่างออกไป น้ำมันเครื่องอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติจนเกิดอาการบวม และระบบปรับอากาศที่ต้องทำงานหนักเพื่อระบายความร้อน

          นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ต้องพึงระวังเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องจอดรถกลางแดดก็คือ อุปกรณ์หรือสิ่งของบางอย่างที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟได้หากอยู่ในที่ที่มีความร้อนเป็นเวลานาน เช่น ไฟแช็ก, แบตฯ สำรอง, โทรศัพท์มือถือ, ขวดสเปร์ย และขวดน้ำพลาสติก

เมื่อต้องจอดรถตากแดดควรทำอย่างไร

          หากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำรถจอดตากแดดทุกวันได้ ลองมาดูเคล็ดลับที่อาจทำให้รถยนต์ของคุณเกิดความเสียหายจากรังสียูวีและแสงแดดได้น้อยลง

1. ใช้ม่านบังแดด

          หากไม่สามารถหาที่จอดรถร่ม ๆ ได้ และจำเป็นต้องจอดรถตากแดด ม่านบังแดดเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่คุณควรนำมาใช้ ถึงแม้จะไม่ได้ปกป้องรถภายนอกได้ แต่ม่านบังแดดสามารถลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารไม่ให้สูงเกินไปได้ ทั้งยังช่วยปกป้องวัสดุและอุปกรณต่าง ๆ ภายในห้องโดยสารได้ในระดับหนึ่ง

2. หุ้มเบาะที่นั่ง

          เบาะรถยนต์ส่วนใหญ่ทำจากหนังหรือวัสดุพีวีซี ที่เมื่อได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์หรืออุณหภูมิภายในรถที่สูงขึ้นย่อมทำให้มีคุณภาพที่เสื่อมลง มีสีที่ซีดจาง และเกิดการแตกลายงาได้ การหุ้มเบาะจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเบาะรถยนต์

3. ผ้าคลุมรถ

          หากคุณเป็นคนรักรถที่จำเป็นต้องจอดรถตากแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุก ๆ วัน ขอเพียงแค่มีเวลาสักนิด หลังจากจอดรถเสร็จใช้ผ้าคลุมรถของคุณก็จะช่วยป้องกันรังสียูวีและแสงแดดได้ เพราะผ้าคลุมรถส่วนใหญ่จะมีการเคลือบสารสะท้อนแสงมาแล้วนั่นเอง

4. เคลือบ แว็กซ์สีรถ

          วิธีนี้ไม่ได้ปกป้องสีรถจากแสงแดดได้ 100% แต่ก็ดีกว่าการที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะการลงแว็กซ์หรือเคลือบสีรถจะช่วยปกป้องรถยนต์จากรังสียูวีได้ในระดับหนึ่ง แต่คุณจะต้องหมั่นลงแว็กซ์เป็นประจำเพื่อให้การปกป้องนี้คงประสิทธิภาพไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

5. ติดฟิล์มที่ตัวรถยนต์

          การติดฟิล์มที่ตัวรถหรือเรียกอีกอย่างว่าการ Wrap รถ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกัน นอกจากจะช่วยป้องกันริ้วรอย หรือเศษหินที่อาจกระเด็นมาโดนแล้ว การ Wrap รถ ยังช่วยถนอมสีของรถ มีให้เลือกทั้งแบบสีต่าง ๆ และแบบใส สามารถลอกออกได้เมื่อไม่ต้องการใช้งานแล้ว ในส่วนของราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์

6. ติดฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มข้นสูง

          อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการลดความร้อนภายในห้องโดยสารหากต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน คือการเลือกติดฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพสูง และมีความเข้มข้นของฟิล์มที่มาก โดยทั่วไปรถที่ออกมาจากศูนย์บริการจะติดฟิล์มกรองแสงที่มีระดับความเข้มประมาณ 40-60% เท่านั้น เราสามารถเพิ่มระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงเป็น 60-80% ได้เช่นกัน แต่ควรเลือกประเภทของฟิล์มที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในเวลากลางคืน และฟิล์มที่มีส่วนผสมของสารปรอทตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย

7. มองหาที่ร่มไว้ก่อน

          แม้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ในการปฏิบัตินั้นถือว่ายาก เพราะการหาที่จอดรถกลางแจ้งที่มีร่มเงาของสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเช่น ตึก หรือต้นไม้นั้น ถือเป็นขุมทรัพย์อย่างหนึ่งที่คนรักรถทุกคนต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน ฉะนั้นถ้าคุณมีโอกาส หรือมีเวลาวนรถหาที่จอดร่ม ๆ ก็ควรทำมันเป็นลำดับแรกเลย เพราะที่จอดร่ม ๆ จะช่วยปกป้องรถของคุณจากแสงแดดได้ดีที่สุดนั่นเอง

          อย่างไรก็ตาม จากวิธีการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องจอดรถตากแดดทุกวัน จอดรถตากแดดนาน ๆ เท่านั้น
ใครที่สะดวกหรือสนใจในวิธีการไหนก็ลองไปทำกันดูได้ตามความเหมาะสม แต่ถึงยังไงวิธีการที่ดีที่สุดที่ช่วยปกป้องรถยนต์ที่เรารักจากแสงแดดและรังสียูวีก็คือการจอดรถในที่ร่มนั่นเอง

credit : https://car.kapook.com/view242391.html

วิธีขับรถส่วนตัวไปรักษาโควิด พาผู้ติดเชื้อโควิดส่งโรงพยาบาลอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีขับรถส่วนตัวไปรักษาโควิด หรือพาผู้ติดเชื้อโควิด ไปหาหมอ รับการรักษาที่โรงพยาบาล มีหลักปฏิบัติอย่างไร ให้ปลอดภัย ไม่เพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อ COVID 19 สู่ผู้อื่น 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด 19 กลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยครั้งนี้ถือว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส COVID 19 เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้รถพยาบาลที่ใช้ในการรับ-ส่งผู้ป่วยไม่สามารถให้บริการได้แบบทันท่วงที ซึ่งผู้ป่วยหรือคนในครอบครัวที่ติดเชื้อและมีรถยนต์ส่วนตัวสามารถเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาหรือส่งตัวผู้ป่วยได้ แต่ต้องทำตามขั้นตอนและข้อปฏิบัติวิธีใช้ รถยนต์ ตามที่มีการประกาศ

ทั้งนี้ สำนักงานประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร ได้ออกคำแนะนำวิธีการเดินทางไปรับการรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อ COVID-19 โดยรถยนต์ส่วนตัว หากผู้ติดเชื้อประสงค์จะเดินทางไปรับการรักษาโดยรถยนต์ส่วนตัวให้แจ้งไปยังสายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ กทม. ก่อน เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และควรเตรียมเอกสารผล LAB ยืนยันการติดเชื้อ COVID-19 ให้พร้อม และหากมีผู้ขับรถให้ แนะนำผู้ติดเชื้อและผู้ที่ขับรถปฏิบัติดังนี้

ภาพจาก สำนักงานประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร

  • ให้มีฉากกั้นระหว่างคนขับและผู้ติดเชื้อเพื่อให้มีระยะห่างระหว่างกันมากที่สุด
  • ใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น ทั้งคนขับและผู้ติดเชื้อ
  • เปิดกระจกและปิดเครื่องปรับอากาศ
  • คนขับและผู้ติดเชื้อให้นั่งทแยงมุมคนละฝั่ง
  • สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทาง โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่ควรเกิน 30 นาที

เมื่อเดินทางไปถึงยังจุดที่กำหนดให้นั่งรออยู่ภายในรถ จากนั้นให้โทรศัพท์ประสานงานเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ารับการรักษาตามช่องทางของโรงพยาบาลต่อไป ส่วนผู้ติดเชื้อโควิด 19 หรือผู้ที่มีญาติพี่น้องติดเชื้อและต้องการประสานรถพยาบาลไปรับผู้ป่วยจากที่พัก สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ กทม.

สำหรับการเดินทางสัญจรในช่วงการระบาดของ โควิด 19 ทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถสาธารณะ มีหลักปฏิบัติเพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อการติดเชื้อ คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก prbangkok.com

credit : https://car.kapook.com/view240729.html

รู้หรือไม่? การเหยียบเบรกบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและมีข้อเสียตามมาอีกมากมาย ‼

รู้หรือไม่? การเหยียบเบรกบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและมีข้อเสียตามมาอีกมากมาย

หยุด! พฤติกรรมการขับขี่ เดี๋ยวเร่ง เดี๋ยวเบรก คุณรู้หรือไม่ว่าการขับๆ เบรกๆ แบบนี้บ่อยๆ มีข้อเสียมากกว่าที่คิด มาดูว่าข้อเสียที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

การเหยียบเบรกเหยียบคันเร่งบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเพราะจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของรถยนต์อาจจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเบรกที่หมดไวกว่าปกติ บางคนเปลี่ยนผ้าเบรกปีต่อปี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 30,000-40,000 กิโลเมตร รวมถึงเครื่องยนต์ระบบส่งกำลังสึกหรอและยังเกิดการสั่งจ่ายน้ำมันไม่นิ่ง เมื่อการจ่ายน้ำมันไม่นิ่งจะทำให้การสั่งจ่ายน้ำมันมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาจะทำให้การสั่งจ่ายน้ำมันไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็จะส่งผลต่ออัตราประหยัดนั่นเอง

นอกจากนี้ พฤติกรรมการเหยียบเบรกบ่อยๆยังส่งผลถึงความปลอดภัย เพราะการที่เหยียบเบรกบ่อยๆจะทำให้รถคันหลังต้องเบรกตามโดยไม่มีความจำเป็น อีกทั้งคันหลังต้องคอยรักษาระยะเพิ่มขึ้นนั่นเท่ากับว่าเขาต้องมารับภาระความเสี่ยงและยังสร้างความรำคาญใจอีกด้วย

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202115.php

อาการเกียร์ออโต้ก่อนพัง, พฤติกรรมที่ควรเลี่ยงและแนวทางการบำรุงรักษา?

อาการเกียร์ออโต้ก่อนพัง, พฤติกรรมที่ควรเลี่ยงและแนวทางการบำรุงรักษา?รถคันหนึ่งวิ่งระยะทางหลายพันกิโลเมตรต่อปี เกียร์ที่ทำงานหนักอาจจะมีปัญหาได้ ซึ่งเราอาจจะไม่ทราบถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจบ่งบอกถึงเกียร์ที่กำลังมีปัญหาและพังเสียหายในอนาคตต่อไป

อาการที่บ่งบอกถึงเกียร์ที่มีปัญหา
1) เข้าเกียร์แล้วรถไม่ค่อยอยากจะออกตัว
อาการรถไม่ออกตัว โดยเฉพาะในเกียร์เดินหน้า(D) หรือเกียร์ถอยหลัง(R) อาการนี้มีสาเหตุจากขาดการดูแลบำรุงรักษา โดยเฉพาะรถจอดหรือรถที่ไม่ค่อยได้วิ่ง ทำให้น้ำมันเกียร์มีปริมาณไม่ถูกต้อง เช่น น้อยเกินไปหรือมากเกินไป แก้ไขได้โดยเติมน้ำมันให้ได้ระดับที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะใช้งานได้ตามปกติ
แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับรถที่มีระยะการใช้งานมากกว่า 100,000 กิโลเมตรขึ้นไป และได้รับการดูแลบำรุงรักษาตามปกติ ก็จะเกิดจากการสึกหรอภายในชิ้นส่วนของเกียร์ต่างๆ เช่น ชุดผ้าคลัตช์, ชุดวาล์ว ควบคุมแรงดัน การแก้ไขเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องยกเกียร์ออกมาผ่า, โอเวอร์ฮอล์เกียร์ (overhaul) หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนเกียร์นั้นๆ หรืออาจรุนแรงถึงขึ้นยกเกียร์ลูกใหม่กันเลยทีเดียว

2) เข้าเกียร์ D หรือ R แล้วกระตุกหรือกระชาก
อาจเกิดจากการออกรถในขณะที่อุณหภูมิของเครื่องยนต์ไม่ถึงเกณฑ์ทำงาน ออกรถในขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่ หรือเมื่อใช้งานไปแล้ว (เครื่องร้อนแล้ว) แต่น้ำมันเกียร์ยังไม่ถึงอุณหภูมิที่ถูกต้อง (เกียร์เย็น) หรือน้ำมันเกียร์ร้อนเกินกว่าที่กำหนด การแก้ไขต้องเริ่มที่ตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์ รวมทั้งคุณภาพของน้ำมันเกียร์ ตามด้วยการตรวจเช็คระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์และน้ำมันเกียร์

3) เกียร์เปลี่ยนเร็วหรือช้ากว่าปกติ
อาการนี้เกิดจากการปรับตั้งสายเกียร์ที่ไม่ถูกต้อง (ในรุ่นที่มีสายเกียร์) แก้ไขโดยการปรับตั้งใหม่ ในรุ่นที่ควบคุมระบบไฟฟ้า ให้เคลียร์เมมโมรีของสมองเกียร์ (Transmission Control Module) หรือตรวจสอบวาล์วควบคุมทางเดินน้ำมันด้วยไฟฟ้าว่า มีน้ำมันเกียร์มากหรือน้อยเกินไป รวมทั้งน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ แก้ไขด้วยการเติมหรือเดรนส่วนที่เกินออกหรือเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ การอุดตันของทางเดินน้ำมันเกียร์ในสมองเกียร์ (Valve body) แก้ไขด้วยการถอดสมองเกียร์ (โดยช่างที่ชำนาญ) ออกมาล้างทำความสะอาด อาจมีการรั่วซึมภายในระบบเกียร์ของชุดเกียร์ต่างๆ เช่น แหวนกันน้ำมัน ลูกสูบวาล์ว (ลิ้นปิดเปิด ทั้งแบบกลไกหรือแบบไฟฟ้า)

4) เกียร์สุดท้ายไม่มีและหรือไม่มีคิกดาวน์
อาการไม่มีคิกดาวน์ ถ้าเกิดขึ้นหลังจากการซ่อมเกียร์ (ผ่าเกียร์) มักเกิดจากการประกอบผิดพลาด, ชิ้นส่วน แหวนหรือโอริงกันน้ำมันฉีกขาด ใส่กลับทาง ใส่ไม่ครบ แต่ถ้าเกิดจากการใช้งานมานานแล้วยังไม่เคยผ่านการซ่อมมาก่อน อาจจะเกิดจากการรั่วซึมภายใน ก็ต้องผ่าเกียร์ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย

5) ออกตัว ต้องเร่งเครื่องใช้รอบสูงๆ
อาการนี้เกิดขึ้นแม้ว่าจะวอร์มเครื่องก่อนออกรถแล้วก็ตาม แก้ไขโดยตรวจระดับน้ำมันเกียร์และคุณภาพของน้ำมันเกียร์ ถ้าน้ำมันเกียร์ถูกต้อง มักเกิดจากผ้าคลัตช์ในชุดเกียร์สึกหรอเสื่อมสภาพ แก้ไขโดยการยกเกียร์ผ่าเกียร์ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ

▪️ พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
– เหยียบคันเร่งแรงๆ บ่อยๆ จะทำให้เกียร์พังได้ไวกว่าที่กำหนด ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมนี้
– ใส่เกียร์ว่างขณะรถวิ่ง ถ้าคุณใส่เกียร์ว่างขณะรถกำลังวิ่งอยู่ จะส่งผลให้น้ำมันหล่อลื่นในเกียร์ลดลง จนขาดแรงดัน ทำให้รถเกิดความร้อนสูง และเกียร์พังในที่สุด
– ใช้เกียร์ P ทั้งๆ ที่รถยังไม่นิ่ง การกระทำเช่นนี้จะส่งผลกับระบบเกียร์โดยตรง เพราะชุดเกียร์ทำงานโดยการล็อคตัวเองอัตโนมัติ จนส่งผลทำให้เกียร์พังได้

▪️ แนวทางการบำรุงรักษา
– หมั่นเช็กสภาพเกียร์อยู่สม่ำเสมอ ทั้งนี้เพราะหากเจอสิ่งผิดปกติจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ไม่ลุกลาม
– เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระเวลาที่กำหนด จะช่วยถนอมเกียร์ให้ใช้งานได้นาน โดยควรเปลี่ยนเมื่อรถวิ่งครบ 40,000 กิโลเมตร
– ไม่เร่งเครื่องแรง เมื่อทำการสตาร์ทรถ เพราะจะทำให้ระบบเกียร์พังได้ง่าย และอาจลุกลามไปถึงระบบเครื่องยนต์เสียหายได้ด้วย
– ไม่เร่งเครื่องแรง ไม่เหยียบคันเร่งหนัก เพราะอาจทำให้เกียร์กระชาย และเกิดความเสียหายได้
ใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาวะในการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202116.php

เช็คก่อนเดินทาง 7 จุดสำคัญของรถยนต์ ที่ควรตรวจสภาพความฟิตก่อนเดินทางไกล

ทุกๆ หน้าเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายคนจะใช้จังหวะนี้เดินทางกลับบ้านเกิด หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งถ้ามีรถส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็เลือกรถส่วนตัวไปเพื่อความสะดวก

อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางไกลการตรวจสอบสภาพความฟิตของรถก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการตรวจสอบความฟิตของคนขับ แล้วจุดไหนของรถบ้างที่ต้องเช็คเราจะมาชี้เป้า 7 จุดที่ควรเช็คให้ดีก่อนออกเดินทางไกล จะได้ไม่เหวอเพราะเจอปัญหากินข้าวลิงกลางทาง

เช็คน้ำมันเครื่อง

สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันก็คือ ‘น้ำมันเครื่อง’ นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไป

เช็คระบบหล่อเย็น

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหม แม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด

แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะ

เช็คยาง

รถไม่มียางก็วิ่งไม่ได้นี่คือสัจธรรม ต่อให้ ‘โดมินิค ทอเร็ตโต้’ มาขับรถที่ไม่มียางก็อย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่

อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมาก เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล บินไปเลยแม็กนั่มสูงมากๆ (ใครเข้าใจมุกนี้ถือว่าไม่เด็กแล้วนะ) หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงตายนะคุณ

เช็คผ้าเบรค

เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะเบรคยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร

หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งจานเบรคสึกเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย สึกก่อนกำหนดแน่ๆ 

เช็คไฟส่องสว่าง

จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสิงข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนมักง่าย คิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืน รถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนตู้มเลยนะ

ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาไม่สามารถตรัสรู้กับคุณได้แน่นอนว่าจะเลี้ยวหรือหยุด

เช็คแบตเตอรี่

แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด วิธีตรวจสอบแบตเตอร์ของรถทำได้สองวิธีคือหนึ่งใช้เครื่องมือวัดโวลต์ของแบตรถยนต์ซึ่งหาซื้อมาได้ไม่ยาก หรือสังเกตจากการตลาดรถยนต์

ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์ ถ้าแรงดันไฟต่ำกว่า 11 โวลต์ โอกาสสตาร์ทไม่ติดมีสูง แต่ถ้าแรงดันอยู่ที่ 13.8  – 14.2 โวลต์ ถือว่าปกติ

7-trick-checking-your-car-before-a-long-drive-61

เช็คของเหลวอื่นๆ

ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงมา (ใช่..กระโปรงรถ) จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่

ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียด ส่วนน้ำยาแอร์ แม้จะไม่มีผลต่อการขับขี่ แต่ก็มีผลต่อความสบาย ถ้าแอร์ไม่เย็น แล้วต้องเดินทางในจุดที่ร้อนจัดๆ แอร์พัง นี่ชีวิตก็พังด้วยน้ำ ถ้ารู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นก็เติมเถอะ

credit: https://www.mangozero.com/7-trick-checking-your-car-before-a-long-drive/

check-credit