เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

ท่าจับพวงมาลัยบ่งบอกนิสัย

นอกจากการทำนายนิสัยตามวันเกิด ราศีเกิด ยังมีอีกสิ่งที่สามารถทำนายนิสัยคุณและความเป็นตัวตนได้ คือไลฟ์สไตล์ ความชอบ อากัปกิริยาอาการต่าง ๆ ที่คุณทำในแต่ละวัน โดยเฉพาะท่าทางการแสดงออกมาแบบธรรมชาติโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวอย่างท่าทางการจับพวงมาลัยรถยนต์ขณะขับรถ ก็สามารถทำนายได้คร่าว ๆ บอกนิสัยได้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน?

1. การจับพวงมาลัยในตำแหน่งซ้ายขวาเท่ากัน

สำหรับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มักมีชื่อเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า การจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา กล่าวคือเป็นการจับพวงมาลัยที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เท่ากันในระดับความสูงทั้งซ้ายและขวา สำหรับคำบอกเล่าถึงอุปนิสัยของผู้ที่นิยมการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ จะมีนิสัยชอบความเรียบร้อย สมบูรณ์แบบ หรือที่มักเรียกกันว่าเป็น Perfectionist นั่นเอง ซึ่งข้อดีสุด ๆ คือมีความมุ่งมั่นในการทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และจริงจัง แต่บางครั้งอาจไม่สามารถยอมรับความบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

2. การวางมือข้างใดข้างหนึ่งไว้ที่ก้านพวงมาลัย

อีกหนึ่งบุคลิกที่แสดงออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ ขณะขับรถนั่นคือการใช้มือข้างใดข้างหนึ่งจับที่ก้านพวงมาลัย สำหรับความหมายที่สื่อออกมากับการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ คุณเป็นคนรักการผจญภัย ชื่นชอบความท้าทาย  และมองหาสิ่งแปลกใหม่มาเติมเต็มให้กับชีวิตคุณในทุกเวลา พร้อมทั้งชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ

3. การหงายมือขึ้นจับใต้พวงมาลัย

สำหรับการจับพวงมาลัยรถยนต์ในรูปแบบนี้พบเห็นกันได้น้อยมาก เพราะดูเป็นการจับพวงมาลัยในรูปแบบที่ฝืนธรรมชาติอยู่พอประมาณ ซึ่งหากคุณพบใครก็ตามที่จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ บุคคลเหล่านั้นจะมีนิสัยที่มีความเป็นผู้นำสูง สามารถโน้มน้าวใจของผู้อื่นได้ดี เป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาของใคร ๆ อยู่ตลอด และเป็นนักควบคุมและออกคำสั่งที่เฉียบขาดอีกด้วย

4. การคว่ำมือลงจับใต้พวงมาลัย

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อยและเป็นเหมือนด้านตรงข้ามของการจับพวงมาลัยแบบหงายมือขึ้น จับใต้พวงมาลัย เพียงแต่เปลี่ยนเป็นคว่ำมือลง สำหรับอุปนิสัยที่จะพบเห็นได้ในคนกลุ่มนี้คือ คนกระตือรือร้น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าได้สนใจอะไรก็จะให้ความสนใจอย่างเต็มที่พร้อมกับเป็นนักสนับสนุนที่ดี และเป็นผู้มีความเมตตาสูงอีกด้วย

5. การจับพวงมาลัยด้านบนสุดด้วยมือเดียว

คนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์แบบนี้คือ จะจับด้วยมือข้างเดียวที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งโดยข้อแนะนำสำหรับการขับรถโดยทั่วไปถือว่าเป็นรูปแบบที่ไม่ค่อยปลอดภัย แต่ถึงกระนั้นด้วยนิสัยส่วนตัวของใครหลายคนยังคงมีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้อยู่ สำหรับอุปนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยแบบนี้คือบุคคลผู้เปรียบเสมือนศูนย์กลางที่มีแต่คนอยากอยู่รายล้อมรอบข้าง เป็นบุคลิกแห่งความใจเย็นที่แอบซ่อนอยู่ในตัว ใครอยู่ด้วยก็มีแต่ความรู้สึกสบายใจ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่ก็เป็นคนที่คนอื่นสามารถเข้ามาหาและพึ่งพาได้อยู่เสมอ

6. การจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างที่ก้านพวงมาลัย

แม้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะการควบคุมการหมุนพวงมาลัยด้วยการบิดจับที่ตำแหน่งก้านพวงมาลัยมีพื้นที่น้อยมาก การจับแบบนี้บอกนิสัยของผู้จับพวงมาลัยในรูปแบบนี้มีลักษณะเป็นคนเงียบขรึม เรียบ ๆ และไม่ชอบสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของตนเอง

7. การจับพวงมาลัยด้วยมือสองข้างที่ด้านบนสุดของพวงมาลัย

นับเป็นอีกหนึ่งลักษณะของคนขับรถที่จับพวงมาลัยรถยนต์ได้น่าสนใจ นั่นคือการที่ใครสักคนจะจับพวงมาลัยในตำแหน่งบนสุดหรือที่เรียกว่าตำแหน่ง 12 นาฬิกาด้วยมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคลิกของคนประเภทนี้คือ คนขี้กังวล ค่อนข้างจะตื่นตูม ใส่ใจในรายละเอียดมาก ตรวจสอบทุกอย่างอยู่บ่อย ๆ  ทำให้หลายคนมองดูว่าเป็นคนใจร้อน หลุกหลิก ไปซะอย่างนั้น

8. การจับพวงมาลัยแบบสลับบนล่าง

สำหรับท่าจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ หลายพื้นที่สอนการขับรถจะบอกว่าเป็นวิธีจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง เพราะท่าการขับรถนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถถ่ายโอนการควบคุมการหมุนพวงมาลัยไปยังมือทั้งสองข้าง สำหรับบุคคลที่มีรูปแบบการจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้ มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในเหตุและผล ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นยังเป็นคนที่ได้รับการยอมรับและมักตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดี แต่แอบมีความเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่นิด ๆ อีกด้วย

9. การจับพวงมาลัยพร้อมวางมือในตำแหน่งบีบแตร

สำหรับลักษณะนิสัยของผู้ชอบจับพวงมาลัยในรูปแบบนี้คือ เป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น ไม่ยอมใคร ดังนั้นอาจต้องใส่ความใจเย็นลงไปสักนิดสำหรับการควบคุมอุณหภูมิแห่งอารมณ์ที่มักพลุ่งพล่านอยู่บ่อย ๆ ให้ได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรบุคลิกที่น่าสนใจอีกประการคือการ “คิดไว ทำไว” ทำให้เป็นคนที่มีความก้าวหน้าในตัวเองอยู่เสมอ 

10. การจับกึ่งกลางพวงมาลัยซ้ายหรือขวาด้วยมือข้างเดียว

สำหรับการจับพวงมาลัยแบบนี้จะจับพวงมาลัยรถยนต์ในตำแหน่ง 9 นาฬิกาหรือ 3 นาฬิกาด้วยข้างใดข้างหนึ่ง บอกนิสัยของคนที่จับพวงมาลัยรถในรูปแบบนี้คือ การรักความสบาย ทำอะไรแบบง่าย ๆ ไม่คิดมาก ไม่ชอบโอ้อวด และอาจเป็นคนที่ชอบเก็บตัวนิด ๆ อยู่ด้วย

Cr. Roojai

เบาะหนัง VS เบาะผ้า แบบไหนที่ใช่แบบไหนที่ชอบ

เป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนเหมือนกันในการเลือกเบาะที่เหมาะสมกับรถและการใช้งานของเราเพราะทั้งเบาะหนังและเบาะผ้าต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย มาเทียบกันชัด ๆ เลยดีกว่า ว่าแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

เบาะหนัง 

เบาะหนังรถยนต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือเบาะหนังแท้ และเบาะหนังเทียม เบาะหนังแท้จะทำจากหนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกและย้อมสี เพื่อให้หนังไม่มีกลิ่น ทนทาน และนุ่ม รวมทั้งมีความยืดหยุ่นเนื่องจากมีไขมันสัตว์ที่มีความชุ่มชื้น นอกจากคุณสมบัติการใช้งานแล้ว ภายนอกยังมีความหรูหรา ดูภูมิฐาน 

เบาะหนังเทียมสามารถแบ่งแยกย่อยได้เป็นเบาะหนังเทียมที่ทำจาก PVC (Polyvinyl Chloride) ที่นำมาซักย้อม เป็นเบาะที่มีคุณสมบัติคงทน ไม่นุ่ม แต่ก็ไม่ขาดง่าย ตัวเนื้อเบาะจะมีความกระด้าง เบาะหนังเทียมอีกประเภทจะทำจาก PU (Polyurethane) มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน ตัวเบาะมีความนุ่มคล้าย ๆ กับเบาะหนังแท้ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเบาะหนังที่ทำจาก PVC 

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

ข้อดีของเบาะหนัง 

ดีไซน์และสัมผัส 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากหนังจะโดดเด่นในเรื่องให้ความรู้สึกหรูหรา เรียบหรู ดูดี จึงอาจจะทำให้หลายคนตกหลุมรักในภาพลักษณ์ดังกล่าวของตัวเบาะหนัง นอกจากนี้ตัวเบาะหนังเองยังมีความนุ่มและยืดหยุ่นอีกด้วย

ทำความสะอาดง่าย 

เนื่องจากตัวเบาะหนังนั้นมีคุณสมบัติที่ไม่อบฝุ่นหรือดูดซับน้ำ จึงทำความสะอาดง่าย หมดห่วงเรื่องคราบฝังรากลึก 

ข้อเสียของเบาะหนัง

ดูดซับความร้อนง่าย ระบายความร้อนช้า 

สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาหากเลือกใช้เบาะหนังคือการถ่ายเทความร้อนของตัวเบาะหนัง เนื่องจากเบาะหนังมีคุณสมบัติดูดซับความร้อน และระบายความร้อนได้ช้ากว่าเบาะผ้า ในขณะเดียวกัน หากอยู่ในสภาพอากาศหนาวจัด ก็อาจจะพบปัญหาการดูดซับอากาศเย็นทำให้เบาะเย็นเร็วได้อีกด้วย 

ต้องดูแลรักษาให้เบาะหนังเงางาม

แม้ว่าเบาะหนังจะทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ดูดซับฝุ่นก็จริง แต่ก็ต้องมีการดูแลรักษาเพื่อให้เบาะยังคงเงางามไร้รอยขีดข่วน ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูง 

ราคาสูง

ไม่ว่าตัวเบาะหนังจะทำมาจากหนังแท้หรือหนังสังเคราะห์ ต่างก็ยังต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและละเอียด จึงทำให้ตัวเบาะหนังนั้นมีราคาแพงกว่าเบาะผ้า 

เบาะผ้า 

เบาะรถยนต์ที่ทำจากผ้า เช่น ผ้าสังเคราะห์ หรือผ้ากำมะหยี่ ถือเป็นเบาะที่พบเห็นกันได้ทั่วไป เนื่องจากเป็นเบาะที่มีราคาถูก และซ่อมแซมได้ง่าย 

ข้อดีของเบาะผ้า

ราคาย่อมเยา

ข้อดีอันดับแรกของเบาะผ้าคือราคาที่ย่อมเยา เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำนั้นมีราคาไม่แพง ซึ่งแตกต่างกับเบาะหนังที่จะมีกระบวนการผลิตและวัสดุที่มีราคาแพง

ถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า

เนื่องด้วยตัวเบาะผ้ามีคุณสมบัติในการถ่ายเทและเก็บกักความร้อนที่ค่อนข้างสเถียรกว่าเบาะหนัง จึงทำให้เมื่อจอดอยู่กลางแดดหรือขับรถในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ตัวเบาะผ้าจะไม่อมความร้อนเท่ากับเบาะหนัง

ยึดเกาะร่างกายขณะขับทางโค้งได้ดี

ด้วยความที่เบาะผ้ามีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างลื่นน้อยกว่าเบาะหนัง ทำให้สามารถยึดเกาะร่างกายไม่ให้ไหลไปตามแรงเหวี่ยงของรถได้ดีกว่าเบาะหนัง 

ข้อเสียของเบาะผ้า

ทำความสะอาดยาก 

เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างอมฝุ่นและอมน้ำ เกิดเป็นคราบได้ง่าย ทั้งคราบน้ำ และคราบฝุ่นได้ง่าย 

เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

เบาะผ้าถือเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ดี เนื่องจากมีความชื้นมากกว่าเบาะหนัง ทำให้เมื่อเปียกน้ำ จะสะสมความชื้นไว้ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อโรคตามมาได้

วิธีการดูแลรักษาเบาะหนังและเบาะผ้า

อย่างที่เกริ่นไปว่าเบาะหนังและเบาะผ้ามีความแตกต่างกัน ดังนั้นการดูแลรักษาเองก็ย่อมแตกต่างกันด้วย เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเบาะแต่ละแบบจะมีวิธีการดูแลรักษาที่ต่างกันอย่างไร 

การดูแลรักษาเบาะหนัง 

ใครที่เลือกใช้เบาะรถยนต์เป็นเบาะหนัง เราขอแบ่งขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดเบาะออกเป็นสองส่วน นั่นก็คือส่วนการทำความสะอาด และการบำรุงรักษาให้เงางาม

การทำความสะอาด

  1. ดูดฝุ่นทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นผงหรือเศษต่าง ๆ 
  2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหนังหรือน้ำสบู่เพื่อทำความสะอาดคราบที่ค่อนข้างเกาะแน่น
  3. ปล่อยให้เบาะหนังแห้งสนิท 

การบำรุงรักษา

  1. ใช้น้ำยาเคลือบเบาะหนังเพื่อให้เบาะหนังของคุณเงางาม 

การดูแลรักษาเบาะผ้า

การดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะผ้านั้น สามารถทำตามได้ดังนี้

  1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดฝุ่นและเศษผงต่าง ๆ ที่ติดเบาะ เพื่อให้เบาะของคุณสะอาดอยู่เสมอ และคงทนมากยิ่งขึ้น
  2. ในกรณีที่เบาะมีคราบน้ำหรือคราบเปื้อนฝังลึก แนะนำให้ใช้น้ำฉีดและนำแปรงมาขัด จากนั้นใช้ผ้าหรือทิชชูเช็ดให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้เปียกชื้นนาน เพราะอาจจะเกิดเชื้อโรคหรือเชื้อราได้ 

สรุปรวมเบาะหนัง VS เบาะผ้า ควรเลือกอะไรดี?

สำหรับหลายคนที่คิดไม่ตกว่าควรเลือกเบาะหนังหรือเบาะผ้าสำหรับรถยนต์คู่ใจของคุณ ทางเราต้องบอกว่าสามารถเลือกได้โดยตัดสินใจจากความชอบและลักษณะการใช้งานของเราได้เลย หากคุณชอบเบาะที่ให้สัมผัสเนียนเรียบ หรูหรา ก็สามารถเลือกเบาะหนังได้ ทั้งนี้ก็สามารถเลือกโดยเบสจากดีไซน์ภายในของรถเป็นหลักได้ อย่างเช่น บางดีไซน์อาจจะดูเหมาะกับเบาะหนังมากกว่า หรือบางดีไซน์อาจจะเหมาะกับเบาะผ้า 

หากคุณต้องการเบาะที่ราคาย่อมเยาว์ ใช้งานง่าย และระบายความร้อนได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการขับขี่รถกลางแจ้ง หรือต้องมีเหตุให้จอดรถกลางแจ้งบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถตัดสินใจได้จากวิธีการดูแลรักษาและทำความสะอาดเบาะแต่ละประเภท เลือกแบบที่คุณคิดว่าเหมาะกับชีวิตประจำวันของคุณได้เลย

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.kaidee.com

4จุดที่ต้องตรวจสอบสำหรับรถเกิน10ปี

การดูแลรักษารถยนต์ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นรถรุ่นใหม่ หรือรถเก่าที่ไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรถของคุณเป็นรถเก่าที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป การเอาใจใส่เพื่อดูแลรักษารถยนต์ต้องทำอย่างพิถีพิถัน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รู้ใจชวนทุกคนมาเรียนรู้เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็น “รถเก่า” อายุเกิน 10 ปีหรือใกล้เคียง ให้สภาพรถยังดีกันดีกว่า ทำอย่างไรให้รถคันโปรดยังอยู่ในสภาพดีและสามารถใช้งานได้ในทุกเวลา มาเปลี่ยนตัวคุณให้เป็นนักซ่อมบำรุงรถชั้นดีเพื่อรถของคุณกันดีกว่า แม้ว่าจะเป็นรถเก่าอายุกว่า 10 ปี แต่ก็ยังน่าใช้น่าขับ จะมีอะไรบ้างที่ต้องดูแล ไปดูกัน!

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

1.ระบบเครื่องยนต์

จุดแรกที่เจ้าของรถต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ระบบเหล่านี้ยังใช้การได้ดีหรือไม่ อะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในระบบยังคงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือเปล่า นั่นคือ ระบบเครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของรถเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าคุณคือนักสะสมรถแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี

แม้ว่ารถคันนั้นจะถูกใช้งานหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่มีอายุรถถึง 10 ขึ้นไป ต้องตรวจสอบเครื่องยนต์ทั้งระบบอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ระบบไฟฟ้าที่เดินในตัวรถทั้งหมด ระบบลูกสูบ ระบบหัวฉีดน้ำมัน ทุกอย่างยังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่ รวมไปถึงระบบชาร์จและสตาร์ทต่าง ๆ ซึ่งอะไหล่รถยนต์บางอย่างได้ถูกระบุเอาไว้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงหากมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ได้ใช้งานก็ตาม เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนทันที เพื่อรักษาประสิทธิภาพและสภาพรถให้คงอยู่ไว้อยู่เสมอ

2.ระบบเกียร์

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการตรวจสอบ ดูแลรักษารถยนต์ และรักษาสภาพรถที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปหรือใกล้เคียง ไม่ว่ารถคันนั้นจะอยู่กับคุณตั้งแต่เป็นรถใหม่ป้ายแดงเพียงผู้เดียวหรือการซื้อรถมือสองที่มีอายุประมาน 10 ปีขึ้นไป สิ่งที่ต้องตรวจสอบเป็นอย่างดีได้แก่ ชุดระบบเกียร์ต่าง ๆ นั่นเอง เพราะระบบเกียร์มีความสัมพันธ์กับเครื่องยนต์ในการที่จะพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งระบบเกียร์ในปัจจุบัน มีทั้งระบบเกียร์ธรรมดา ระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบเกียร์ CVT ที่มีวิธีการการบำรุงดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป เจ้าของรถทุกคนควรทำความรู้จักกับระบบเกียร์ของรถตัวเองให้ดีว่ามีชิ้นไหนที่ต้องเปลี่ยนตามเลขไมล์การใช้งานบ้าง

โดยส่วนใหญ่แล้ว อะไหล่รถยนต์ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษในส่วนของระบบเกียร์ ได้แก่ เฟืองเกียร์, โซลินอยด์เกียร์ และแผ่นคลัตช์เกียร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์ประเภทไหนต่างต้องใช้อะไหล่รถยนต์ในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตัวอะไหล่รถยนต์จะต้องมีความเหมาะสมและออกแบบมาเฉพาะตัวสำหรับการใช้งานในระบบเกียร์เฉพาะอย่างเท่านั้น ไม่ควรใช้อะไหล่เกียร์ในรูปแบบเปลี่ยนดัดแปลงแทนกัน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชุดระบบเกียร์ได้

3.ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ต้องทำการตรวจสอบให้ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ารถคันนั้นจะใช้งานมากหรือน้อยก็ตาม แต่เมื่อใดก็แล้วแต่ที่รถเก่าคันนั้นถูกใช้งานกว่า 10 ปี ยิ่งจำเป็นต้องตรวจสอบดูชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ต่าง ๆ ในส่วนนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ได้แก่ ชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์ ซึ่งชุดเพลานี้ต่อตรงเข้ากับระบบเกียร์และห้องเครื่อง ทั้งหมดทำงานอย่างสอดประสานกันเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ด้วยพลังที่เต็มที่ ดังนั้น กับรถที่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานแล้ว ความสึกหรอที่เกิดขึ้นกับชุดเพลาและช่วงล่างรถยนต์จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ลดลงด้วย

สำหรับปัญหาที่มักพบเห็นอยู่เป็นประจำเมื่อรถคันใดใช้งานอย่างยาวนาน ความสึกหรอของเพลาจากการใช้งาน ทั้งในส่วนของชุดเพลาทั้งหมด, ดุมเพลาที่เชื่อมไปยังแกนล้อ และตลับลูกปืน คือสิ่งที่ต้องตรวจสอบดูคุณภาพของการใช้งานอยู่เสมอ

นอกจากนั้น ในส่วนของระบบช่วงล่างรถยนต์ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งด้วยเช่นกันที่ต้องตรวจสอบดูแลความพร้อมต่าง ๆ เอาไว้ให้ดี เพราะระบบช่วงล่างรถยนต์คือพื้นที่รับแรงทั้งหมดของรถขณะขับเคลื่อน และในส่วนของระบบเพลาและช่วงล่างรถยนต์มักเจอกับความร้อนอยู่เป็นประจำ และพื้นที่ที่มีความร้อนสูง เมื่อเจอกับอาการชื้นหรือพื้นที่เปียก สิ่งที่ตามมาคือการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่ารถที่อยู่ในแถบภาคกลางหรือภาคใต้นั้นต้องตรวจสอบช่วงล่างรถยนต์ให้ดี เพราะอาจเจอรถที่มีการผุกร่อนของชิ้นส่วนเหล่านี้แอบซ่อนมาด้วย

4.ซีลยางตามจุดรอบตัวรถ และระบบยางรถยนต์

อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เป็นประจำ นั่นคือซีลยางต่าง ๆ ประเก็นปิดวาวล์ พร้อมทั้งยางรถยนต์สำหรับการใช้งาน ซึ่งความเสียหายของชิ้นส่วนเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงดูแลรักษารถยนต์หลักสิบหรือหลักร้อย กลับถูกปล่อยปละละเลยจนสร้างปัญหาใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรถอย่างง่าย ๆ เช่น ประเก็นน้ำมันหรือยางโอริงในห้องเครื่องปิดกั้นความชื้นไม่ได้ ทำให้ไอน้ำเข้าไปยังระบบเผาไหม้ ก่อให้เกิดความเย็นปะทะกับความร้อน ผลลัพธ์คือ การบวมพองของชุดกระบอกลูกสูบ ซึ่งถ้าเจ้าของรถตรวจสอบและทำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในทุกรอบระยะเวลา ย่อมป้องกันความสูญเสียอย่างมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนั้นแล้ว ซีลยางรอบคันรถ ทั้งยางขอบประตู หน้าต่าง ต้องใส่ใจตรวจสอบดูให้ดีว่ามีจุดไหนขาด หมดสภาพหรือไม่ เพราะแม้ซีลยางเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นอะไหล่รถยนต์ชิ้นใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ในทันที แต่ความเสียหายสะสมที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของยางเหล่านี้ ทำให้คนรักรถต้องร้องไห้มานักต่อนักแล้ว

และสุดท้ายกับยางรถยนต์ อีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญที่มักถูกมองข้ามอยู่เสมอ นั่นเพราะเป็นชิ้นส่วนที่ใครไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก จะสนใจก็ต่อเมื่อมันเริ่มมีปัญหาแล้ว เช่น ยางรถยนต์รั่วซึม ดอกยางรถยนต์หมด ไม่เกาะถนน ทำให้การขับขี่ไร้ประสิทธิภาพ และไร้ซึ่งความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รถเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีหรือใกล้เคียง ที่จอดเอาไว้เฉย ๆ ระบบยางรถยนต์ทุกส่วนและล้อยางรถยนต์ควรทำการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.roojai.com

จอดรถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D

ในปัจจุบันรถยนต์มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ให้เลือกใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งนอกจากลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันแล้วหลายคนมักจะเกิดคำถามตามมาว่าเมื่อจอดติดไฟแดง ใช้เกียร์อะไรดี? ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ขับขี่รถยนต์เกียร์ออโต้มักจะเข้าทั้งเกียร์ N แต่ก็มีบางคนที่เข้าเกียร์ D และเหยียบเบรกเอาไว้ จริงๆ แล้วเมื่อต้องจอดติดไฟแดง ควรใช้เกียร์อะไร เรามีคำตอบมาให้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

สำหรับรถยนต์เกียร์ออโต้ หากจอดรถติดไฟแดงควรเข้าเกียร์ N หรือ D  ดี

คำตอบที่ถูกคือ หากจอดรถติดไฟแดง เพียง 10-30 วินาที ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์รถยนต์ก็ได้ สามารถใช้เกียร์ D เหมือนเดิมแล้วทำการเหยียบเบรกค้างเอาไว้ก็พอ แต่หากต้องจอดรถติดไฟแดงนานเกิน 1 นาที แนะนำว่าให้เข้าเกียร์ N ไว้พร้อมกับดึงเบรกมือจะดีกว่า เนื่องจากการเข้าเกียร์ D และเหยียบเบรกทิ้งไว้เป็นเวลานาน จะทำให้ชุดเกียร์รถยนต์สะสมความร้อนส่งผลให้เกียร์รถยนต์พังเร็ว และอาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันจากการที่เครื่องยนต์พร้อมใช้งานอยู่ตลอดอีกด้วย

รถเกียร์ธรรมดา จอดรถติดไฟแดงใช้เกียร์อะไร

หากเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ควรที่จะใช้เกียร์ว่างเหมือนกัน โดยอาจจะทำการเหยียบเบรกร่วมด้วยได้ หรือหากไม่อยากเหยียบเบรกให้ทำการดึงเบรกมือขึ้นก็พอ แต่สิ่งที่ผู้ใช้รถเกียร์ธรรมดาทุกคนมักจะทำอยู่บ่อยๆ คือ การเข้าเกียร์รถยนต์และเหยียบคลัตช์เอาไว้ตลอดเวลาเพื่อให้พร้อมออกตัว ซึ่งบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะนอกจากจะทำให้เมื่อยขาแล้ว ยังทำให้ลูกปืนคลัตช์เสื่อมสภาพเร็วกว่าอายุใช้งานอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. www.viriyah.com

ก่อนออกรถต้องนึกถึงแม่ย่านาง

ก่อนออกรถต้องนึกถึงแม่ย่านาง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถ ราง เรือ ที่คนไทยนับถืออย่างมาก คือ “แม่ย่านาง” เพราะจะสถิตย์คุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยในทุกเส้นทางไร้ภยันตรายใดๆ ซึ่งการไหว้บูชาแม่ย่านางประจำรถคันที่เราจะออกใหม่นั้น ส่วนใหญ่มักจะเลือกพวงมาลัยที่มีการผูกริบบิ้นสีที่แตกต่างกันประจำวันเกิด คือ

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

  • คนเกิดวันอาทิตย์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีเขียว
  • คนเกิดวันจันทร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีม่วง
  • คนเกิดวันอังคาร ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีน้ำเงิน
  • คนเกิดวันพุธ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีเหลือง
  • คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีแดง
  • คนเกิดวันศุกร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีชมพู
  • คนเกิดวันเสาร์ ควรใช้พวงมาลัยริบบิ้น สีฟ้า

​เมื่อมีการออกรถใหม่ควรบูชาแม่ย่านาง คาถาออกรถใหม่ สำหรับไหว้แม่ย่านางรถ แล้วท่องคาถาแคล้วคลาดของ พระครูวิหารกิจจานุการ วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ดังนี้

อิติ สุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
ปะฐะวีคงคา ภุมมะเทวา ขะมามิหัง
สุจิตโต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. .asiacare-warranty

ความหมายเลขทะเบียนรถยนต์

ความหมายเลขทะเบียนรถยนต์

หลายคนมีความเชื่อหมายเลขทะเบียนรถดี ก็จะช่วยส่งเสริมและทำให้การขับขี่ปลอดภัย ดั่งจะเห็นได้ว่าคนไทยนิยมประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์มาใช้ ซึ่งตัวเลขอาจมีผลต่างๆ กับชีวิตของคุณได้ แต่จะมีผลอย่างไร ไปดูกัน…

เลข 0 ความเคลื่อนไหวที่ดี

เจ้าของรถคันนี้จะมีอุปนิสัยรักการเดินทาง หรือเสพติดการเดินทางไกล มักจะได้ใช้งานรถคู่ใจในการเดินทางไกลบ่อยกว่าคันอื่นๆ เพราะเลข 0 กับทะเบียนรถหมายถึงการเดินทาง ความเคลื่อนไหวที่ดี ไม่เจอทางตัน เเสวงหาสิ่งใหม่ๆ บนเส้นทางตลอดเวลา

เลข 1 ชัยชนะและความสำเร็จ

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ทำอะไรมักจะประสบความสำเร็จ เพราะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ คนเราหากอดทน อดกลั้นที่จะทำด้วยความตั้งใจ แม้ให้ล้มสักกี่ครั้งก็จะกลายเป็นความสำเร็จในที่สุด

เลข 2 มิตรภาพดี

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนรักการสังสรรค์ ชอบเข้าสังคม คุณจึงมีเพื่อนใหม่ตลอดเวลา มีมิตรภาพที่ดีและมีคนสนับสนุนอยู่เสมอ เมื่อใช้รถคันนี้ออกงานก็มักจะนำพาเพื่อนใหม่ๆ ให้มารู้จักกัน

เลข 3 มีทางเลือกที่ดี

เจ้าของรถคันนี้เป็นคนที่มีทางเลือกที่ดีอยู่ตลอดเวลา หากต้องเดินทางไปที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างในชีวิต ก็ไม่ค่อยจะเจอทางตัน และได้พบเจอกับปลายทางที่ดี

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

เลข 4 การเดินทาง

เกี่ยวกับการเดินทาง เจอะเจอแต่ความโชคดี รับทรัพย์ รับเงิน โดยรวมเเล้วเจ้าของรถคันนี้จะดวงดีในทุกเรื่องมากกว่าคนอื่นๆ ให้ลองสังเกตตัวเอง หากวันไหนคนส่วนใหญ่ทุกข์หนัก เราจะมีความโชคดีเข้ามาช่วยให้เรารอดพ้น ปลอดภัย ใครทำอะไรกับตัวเราก็จะแพ้ภัยตัวเองไป

เลข 5 ความสุข

เจ้าของรถคันนี้มักพบเจอแต่การเดินทางที่มีความสุข เมื่อได้ใช้รถคันนี้เดินทางไกล ก็จะนำพาไปเจอสถานที่ที่ช่วยให้จิตใจคลายกังวล มีความสุขตลอดการเดินทาง

เลข 6 อำนาจ บารมี

เจ้าของรถคันนี้ มักเป็นคนที่มีลักษณะภูมิฐาน มีอำนาจบารมี ใครอยู่ด้วยก็รู้สึกเกรงใจ เพราะว่าคุณเป็นคนวางตัวดี มีคำพูดคำจาที่สามารถควบคุมคนได้ ทำให้อะไรก็ง่ายสำหรับคุณไปหมด ตำแหน่งหน้าที่การงานมีแต่ความเจริญก้าวหน้า

เลข 7 ธุรกิจการค้าดี

เจ้าของรถคันนี้ ส่วนใหญ่ชอบทำการค้า การขาย ซึ่งจะมีทิศทางที่ได้กำไรมากกว่าเสีย ทำให้คุณมักจะใช้งานรถคันนี้บ่อยครั้ง เมื่อต้องไปจัดการเรื่องที่มีผลประโยชน์ทางกำไร จงรักษารถคันนี้ให้ดี เพราะเป็นเครื่องมือทำกำไรให้คุณได้ดีมากจริงๆ

เลข 8 การเงินดี

รถคันนี้มักใช้สำหรับการออกไปหาเงินนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในการค้า การใช้เป็นเครื่องมือทำเงินต่างๆ จะทำให้คุณมีโชคในเรื่องเงิน เเละเมื่อขับรถคันนี้มักจะได้เงินแบบฟลุคๆ อยู่บ่อยครั้ง ต้องหมั่นดูแลรักษารถคันนี้ไว้ให้ดี

เลข 9 ก้าวผ่านทุกเรื่องราว

เจ้าของรถที่มีตัวเลขนี้ในป้ายทะเบียนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปได้ด้วยดี หากเจอเรื่องร้าย ๆ ก็มักจะเจอหนทางที่กลับกลายเป็นดี ดังนั้นต้องหมั่นดูเเลสภาพรถยนต์ให้ดูดี สะอาดตา เพื่อรับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาอยู่เสมอ

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. komchadluek

ลางดีหรือลางร้าย สัตว์วิ่งตัดหน้ารถ

ลางดีหรือลางร้าย สัตว์วิ่งตัดหน้ารถ

ความเชื่อโบราณที่ในปัจจุบันยังมีการกล่าวถึงคือ เมื่อขับรถอยู่แล้วมีสัตว์ตัดหน้ารถ ก็จะหมายถึงลางบอกเหตุต่างๆ เช่น งูเลื้อยตัดหน้ารถ เชื่อว่าจะโชคดี มีโชคลาภในเรื่องของเงินทอง ตัวเงินตัวทองตัดหน้ารถ เชื่อว่าจะหมดเคราะห์ หายเจ็บป่วย แต่ก็อาจจะเป็นทุกขลาภเพราะจะต้องมีเรื่องให้เสียเงิน

นอกจากสัตว์ชนิดต่างๆ เชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุแล้ว ตามความเชื่อโบราณยังกล่าวรวมไปถึงลักษณะของสัตว์ที่ตัดหน้าระหว่างเดินทางด้วย ว่ามาในรูปแบบใด ซึ่งก็จะมีทั้งลางดี และลางร้าย (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

สัตว์วิ่งผ่านหน้า

จากขวามาซ้าย เชื่อว่าไม่ดี ไม่ควรที่จะเดินทางต่อ

สัตว์วิ่งจากซ้ายไปขวา

เชื่อว่าเดินทางไปจะมีโชคลาภ

สัตว์วิ่งนำหน้าไป

ดีมาก จะชนะศัตรูทั้งหลาย

สัตว์วิ่งจากหน้า เลยไปข้างหลัง

ให้หยุดเดินทางชั่วครู่ แล้วค่อยเดินทางต่อ จะมีลาภ

สัตว์วิ่งมาชนด้านหน้า

ให้เลี่ยงลงข้างทางก่อน จึงค่อยเดินทางต่อ จะได้ลาภสมใจนึก

สัตว์วิ่งมาชนด้านขวา

ให้เดินทางช้าๆ หรือแวะพักระหว่างทางก่อนจึงค่อยเดินทางต่อ จะมีลาภ

สัตว์มาชนด้านซ้าย

ให้เอ่ยปากฟาดเคราะห์กับแม่ธรณีก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางต่อ เชื่อว่าจะมีเทวดามาคุ้มครองให้พ้นจากอันตราย

สัตว์มาชนโดยไม่ทราบทิศ

ให้บริกรรมแต่คำดี แล้วจึงค่อยเดินทางต่อ เชื่อว่าจะมีลาภ ได้สิ่งที่ปรารถนา

อย่างไรก็ตาม หากเป็นในเรื่องของการเดินที่ต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมสติ เตรียมร่างกาย และอย่าลืมเช็กสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนออกเดินทางด้วยนะคะ

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. sanook

5 วิธีสวดมนต์ เรียกทรัพย์ก่อนขับรถ

หัวใจสำคัญของการขับรถ การขับขี่ปลอดภัยคือสิ่งที่ทุกคนคิดถึงมากที่สุด นอกจากการตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอแล้ว ยังมีรูปแบบของสายมู ผ่านบทสวด คาถาเดินทางปลอดภัย ที่นักขับรถทั้งหลายมักจะมองหามาติดประจำรถไว้ หรือไม่ก็ท่องสวดให้ขึ้นใจ ถือเป็นคาถาคลาดแคล้วที่จะช่วยสร้างความปลอดภัย และทำให้คนขับรถที่นับถือพุทธคุณรู้สึกอุ่นใจขึ้นนั่นเอง

1.คาถาแคล้วคลาด ขับรถปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวง

“เมตตัญ จะ สัพพะโล กัสสะมิง มานะ สัมภาวะเย อัปปะริมานัง”

สำหรับคาถาบทนี้ประหนึ่งการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดเส้นทาง เพื่อให้ผลบุญนั้นส่งกลับมายังการขับรถให้ได้รับความคุ้มครอง เดินทางปลอดภัยในทุกเส้นทาง สำหรับการท่องคาถานี้ให้เริ่มจากการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการตั้งนะโม 3 จบก่อนที่จะเริ่มต้นทำการสวดคาถา โดยสวดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการภาวนาให้ตลอดการเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ตลอดทั้งเส้นทางนั่นเอง

2.คาถาเดินทางปลอดภัย สำหรับการขับรถทางไกล

“มะติ ยาเต มะเต ยาติ มาเต ถินา นะนา ถิเต มะนา เนสา มะสา เนนา มะสา จะติ มะติ จะสา มะติยาใน มะโนยาติ มะโนติตัง มะตังติโน มะตังปาลัง มะลังปาตัง มะลังจะติมะติจะลัง”

อีกหนึ่งคาถามหานิยมที่ใช้ในการสวดภาวนาก่อนการเดินทางได้แก่ คาถา มะติ ยาเต ที่เชื่อกันว่าเป็นการบริกรรมคาถาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาจากหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ที่มุ่งเน้นไปยังการออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล ให้ทุกจังหวะการเดินทางให้ได้รับความปลอดภัย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไร้อุปสรรคหรืออุบัติเหตุใด ๆ และประสบผลดีตลอดทั้งเส้นทาง

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

โดยการบริกรรมคาถานี้ให้เริ่มจากบูชาพระพุทธด้วยการตั้งนะโม 3 จบ เช่นเดิม จากนั้นให้ตามด้วยคาถาในข้างต้นจำนวน 1 จบ หรือ อาจมากกว่านั้นแต่ขอให้ลงท้ายเป็นเลขคี่ เพื่อเพิ่มเติมความเป็นสิริมงคล และความปลอดภัยในการขับขี่โดยเฉพาะกับการขับรถทางไกลไปยังต่างบ้านต่างแดนนั่นเอง

3.คาถารอดพ้นอันตราย

“นะรา นะระ หิตัง เทวัง นะระ เทเรหิ ปูชิตัง นะรานัง กะมะปังเกหิ นะมามิ สุคะตังชินัง”

สำหรับการกล่าวคาถานี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับรถไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่คุ้นเคย ดูไม่ปลอดภัย สำหรับการเริ่มต้นกล่าวคาถาสำหรับการปกป้องในครั้งนี้ให้เริ่มต้นจากการตั้ง นะโม 3 จบ จากนั้นให้ทำการสวดคาถาตามอีก 3 จบ เชื่อว่าผลของการสวดมนต์เพื่อขอการป้องกันนี้จะปกปักรักษาตัวคนขับรถให้ห่างไกลจากอันตรายและการปองร้ายทั้งปวงได้

4.คาถาแคล้วคลาดด้วยพุทธคุณเป็นที่ตั้ง

“พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก วันทามิเตสุระนะ รักกะเมสะเม”

สำหรับการท่องคาถาในบทนี้เป็นการพึ่งในพุทธคุณสำหรับการป้องกันจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เป็นคาถาสายเย็นเน้นแผ่ความเมตตาออกไปให้ถ้วนทั่วเพื่อให้ความดี และความเมตตาในรูปแบบของคาถาพระพุทธช่วยปกป้องคุ้มครอง และดลบันดาลความสุข ความสงบให้กับทุกสิ่งตลอดเส้นทาง เริ่มต้นด้วยการตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วยเนื้อหาของคาถาหนึ่งรอบก่อนการเดินทางแต่ละครั้ง ให้ผลพุทธคุณหนุนนำชีวิตไปในทุกเส้นทาง

5.คาถาเดินทางโดยสวัสดิภาพ

“อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี วันนี้ชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี (วันที่เดินทาง หรือกล่าวว่า “วันนี้”) ชัยศรีสวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี พระชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ ( 3 จบ )”

เป็นบทคาถาที่เชื่อมโยงการท่องสวดด้วยบท อิติปิโส ที่เป็นบทอาราธนาที่คนไทยทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีในการเชิดชูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับการเริ่มต้นกิจการอันใดก็ตามให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง

ในบทสวด อิปิติโส นี้ได้ถูกนำมารวมกับคาถาฤกษ์งามยามดีสำหรับการเดินทาง วันนี้เป็นวันแห่งชัย วันแห่งโชค ด้วยพุทธคุณที่ไหลมาอย่างล้นเหลือให้กับชีวิต นับเป็นคาถาใหญ่ที่ให้พรแก่นักขับรถอย่างมากมาย

สำหรับใครหลายคนที่ได้เห็นเนื้อหาของคาถาครั้งแรกอาจมองว่าเป็นคาถาที่ยาวมากเหลือเกิน ยากที่จะจำได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้ใช้คาถานี้ไปนาน ๆ รับรองว่า จะจำได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และสร้างผลบุญให้กับคุณได้อย่างมหาศาล

คาถามหานิยมที่สุดคือความไม่ประมาท

สำหรับคาถาที่สำคัญที่สุดให้ทุกจังหวะการขับรถเป็นไปด้วยความราบรื่น คือคาถาแห่งการตั้งสติและความไม่ประมาทนั่นเอง เชื่อเหลือเกินว่าทุกบทสวดที่มีการคิดค้นขึ้นมานั้น มุ่งหวังไปยังการตั้งสติในการขับรถด้วยความปลอดภัย ไม่ว่อกแว่ก หรือสนใจในสิ่งอื่น รวมไปถึงการทำใจให้สงบไม่เกิดอารมณ์ร้อนแรงฉุนเฉียวที่เป็นต้นเหตุแห่งอุบัติเหตุทั้งปวง

ดังนั้นไม่ว่าจะคาถาอะไรความตั้งตนอยู่บนสติและไม่ประมาท หมายถึงความปลอดภัยสูงสุดที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นการขับรถที่ราบรื่นที่สุด

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr.roojai

พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน ?

พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยว่าที่จริงแล้วควรจะนำ พระ ตั้ง หน้า รถ วางอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยกัน

การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่อยู่คู่กับชาวพุทธมาอย่างยาวนาน โดยถือว่าเป็นการไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น การยกมือไหว้พระพุทธรูป การพกเครื่องรางของขลังติดตัว หรือการ บูชาพระตั้งหน้ารถ แล้วยกมือไหว้ก่อนออกเดินทางเพื่อหวังให้ช่วยปกปักคุ้มครองในระหว่างการเดินทางให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่หลายคนรู้หรือไม่ว่าการนำ พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยว่าที่จริงแล้วควรจะนำ พระ ตั้ง หน้า รถ วางอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยกัน

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

การวางพระหน้ารถควรหันไปทางไหน

ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วการวางพระหน้ารถ หรือ พระ ใน รถ อย่างถูกต้อง ควรหันหน้าของพระออกไปทางหน้ารถทิศทางเดียวกันกับผู้ขับขี่ โดยตามความเชื่อแล้วจะเป็นการเสริมดวงให้กับเจ้าของรถ เพราะพระที่หันหน้าไปในทิศทางเดียวกันจะเปรียบเสมือนการปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับตัวรถและผู้ขับขี่ได้ทุกเมื่อ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วหากหันหน้าพระเข้ามาภายในรถจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนภายในครอบครัวได้

ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อในหลักของฮวงจุ้ยแล้ว การวางพระหน้ารถแล้วหันหน้าพระเข้ามาภายในรถก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะบางคนอาจทำแบบนี้แล้วเกิดความสบายใจ มีความตื่นตัวและมีสติตลอดการขับขี่ ซึ่งสามารถมองได้อีกมุมหนึ่งว่าการหันหน้าของพระเข้ามาภายในรถเป็นเครื่องเตือนใจตอนขับรถ เพราะว่าได้มองเห็นหน้าพระตลอดเวลาที่สร้างความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่ หรืออีกหนึ่งความเชื่อคือการไหว้พระเราก็ควรที่จะไหว้ต่อหน้าให้ท่านได้เห็น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บางคนนิยมวางพระแล้วหันหน้าพระเข้ามายังตัวรถนั่นเอง

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. khaorot

3 สิ่งความเชื่อของคนไทย ที่ไม่ควรนำขึ้นรถเด็ดขาด

เคยสังเกตไหม ว่าเมื่อมีสิ่งของต่างๆ ที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับตัวผู้ใช้รถอย่าง พระพุทธรูป ผ้ายันต์เสริมสิริมงคล และของมงคลต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ให้พกพา แต่เชื่อไหมว่ายังมีสิ่งของต้องห้าม ไม่ควรนำขึ้นรถ หรือการกำจัดสิ่งของเหล่านี้ออกไปได้ยิ่งดี เพราะอาจจะส่งผลให้ไม่ดีต่อตัวเจ้าของชะตาผู้ขับขี่รถยนต์เช็กกันเลย ว่าคุณมีของเหล่านี้ไหม?

1. เหรียญ

การเก็บเหรียญที่ตกที่พื้นรถ(ถ้ามี)การที่เศษเหรียญกระจัดกระจาย แปลว่าเจ้าของรถจะเก็บเงินไม่อยู่

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

2. พวงมาลัยแห้ง

หลายคนซื้อพวงมาลัยมาบูชา แต่ก็ชอบปล่อยทิ้งในรถจนเหี่ยวเฉา ทำให้สิ่งที่ควรจะเป็น วัตถุมงคลกลายเป็นของอัปมงคลทั้งในเรื่องของฝุ่น และความสกปรก

3. นาฬิกาตาย

เปรียบได้กับการหมดอายุขัยของคน หากนำติดตัวขึ้นรถหรือวางไว้ทิ้งไว้ในรถ จะกลายเป็นของอัปมงคลที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และ ไทยรัฐออนไลน์ อยากให้ทุกคนตั้งสติก่อนสตาร์ต มีสมาธิทุกครั้งหลังนั่งพวงมาลัย ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้น.

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. thairath

check-credit